หม้อข้าวหม้อแกงลิงสามารถแบ่งเป็น
2 ประเภทใหญ่ๆ ตามระดับความสูงขงน้ำทะเล ดังนี้
กลุ่มที่หนึ่ง กล่ม Lowland

กลุ่มที่หนึ่ง กล่ม Lowland

เป็นสายพันธุ์ที่สามารถพบได้ที่ระดับน้ำทะเลตั้งแต่
0 – 1000 เมตร
ซึ่งไม้ในกลุ่มนี้สามารถเลี้ยงได้ในสภาพอากาศแบบบ้านเรา กลุ่มนี้มีประมาณ 40
กว่าสายพันธุ์ เช่น N.albomarginata, N.ampullaria,
N.gracilis, N.northiana, N.mirabilis, N.truncata เป็นต้น
ไม้กลุ่มนี้พบได้ในป่าพรุและพื้นที่สภาพดินขาดธาตุอาหาร หรือป่าเสื่อมโทรม
กลุ่มที่สอง กลุ่ม Highland
เป็นสายพันธุ์ที่สามารถพบได้ที่ระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1000 เมตรขึ้นไป ซึ่งไม้กลุ่มนี้มีความต้องการความชื้นค่อนข้างสูง และสภาพอากาศต้องค่อนข้างเย็นยากต่อการเลี้ยงในสภาพอากาศแบบบ้านเรา แต่บางชนิดอาจสามารถปรับตัวจนเติบโตได้แต่ขนาดของหม้ออาจจะไม่ใหญ่เหมือนกับการเลี้ยงในสภาพ Highland กลุ่มนี้มีมากกว่า 60 ชนิด เช่น N.aristolochioides, N.burbidgeae, N.glabrata, N.glandulifera, N.rajah, N.sibuyanensis, N.spectabilis, N.villosa เป็นต้น
เป็นสายพันธุ์ที่สามารถพบได้ที่ระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1000 เมตรขึ้นไป ซึ่งไม้กลุ่มนี้มีความต้องการความชื้นค่อนข้างสูง และสภาพอากาศต้องค่อนข้างเย็นยากต่อการเลี้ยงในสภาพอากาศแบบบ้านเรา แต่บางชนิดอาจสามารถปรับตัวจนเติบโตได้แต่ขนาดของหม้ออาจจะไม่ใหญ่เหมือนกับการเลี้ยงในสภาพ Highland กลุ่มนี้มีมากกว่า 60 ชนิด เช่น N.aristolochioides, N.burbidgeae, N.glabrata, N.glandulifera, N.rajah, N.sibuyanensis, N.spectabilis, N.villosa เป็นต้น
การวิวัฒนาการของหม้อข้าวหม้อแกงลิง
แต่เดิมพืชชนิดนี้ลักษณะเหมือนพืชใบเลี้ยงเดี่ยวทั่วไป
แต่สถานที่ที่พืชชนิดนี้อาศัยอยู่มีปริมาณแร่ธาตุที่น้อยเกินไป
พืชชนิดนี้จึงต้องปรับตัวเพื่อให้ได้มาซึ่งแร่ธาตุเพิ่มเติม โดยลำดับการวิวัฒนาการเป็นดังนี้
2.ปลายใบเริ่มหัวตัวมีลักษณะคล้ายหม้อ และมีการพัฒนาให้มีฝาปิดตัวหม้อ
3.การพัฒนาตัวหม้อเสร็จสมบูรณ์
ผิวภายในหม้อมีเซลล์ที่สามารถหลั่งเอนไซม์ในการย่อยแมลงได้
และสามารถดูดซึมสารอาหารได้ บริเวณปากหม้อมีเซลล์ที่หลั่งน้ำหล่อลื่นมาเคลือบ
สายพันธุ์หม้อข้าวหม้อแกงลิงที่พบในประเทศไทย
จากการสำรวจแหล่งที่อยู่อาศัยที่พบหม้อข้าวหม้อแกงลิงในประเทศไทย พบสายพันธุ์ดั้งเดิมทั้งสิ้น 6 สายพันธุ์
โดยมีความเป็นไปได้ว่ายังมีสายพันธุ์ที่ขาดการสำรวจอยู่อีกที่รอการค้นพบในอนาคต
1.Nephenthes Ampullaria
พบในประเทศไทยที่ปัตตานี
สตูล สงชลาและพื้นที่ในแนวติดกับมาเลเซีย
ลักษณะเด่นเป็นไม้เลื้อย สูงได้ถึง 12 เมตร
ลักษณะหม้อเป็นทรงกลมมีฝาปิดขนาดเล็กจนถึงเล็กมาก
สีที่พบในประเทศไทยมีสีเขียว และสีลายจุด
ที่บริเวณลำต้นและใบจะมีขนนุ่มสีน้ำตาลจำนวนมากโดยเฉพาะใบอ่อน และท้องใบ
ใบเดี่ยวรู)หอกหรือวงรีแกมขนาน
ใบเรียงตัวเป็นเกลียว ขอบใบเรียบ ออกดอกในช่วง ตุลาคม – มกราคมของทุกปี
ต้นที่มีขนาดใหญ่จีหม้อผุตออกมาที่บริเวณไหลและโคนต้น
หม้อผุดมักจะไม่มีแผ่นใบให้เห็นชัดเจน ในธรรมชาติหม้อสามารถใหญ่ได้ถึง 5 นิ้ว
หม้อบนหาดูได้ยากมาก เมื่อต้นสูง 1-2
เมตรก็จะเริ่มออกดอก(แล้วแต่ความสมบูรณ์ของต้น)
ลักษณะดอกเป็นแบบช่อกระจะ 1 ก้านดอกจะมี 3
ดอกย่อยปลายเกสรตัวผู้เมื่อเร่มบานออกจะมีสีแดง เกสรตัวผู้บานเต็มที่ในช่วงเย็นจนถึงเช้าตรู่ ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแตกจะแตกเป็นพู 4
พูมีการผสมข้ามสายพันธุ์กับ N.gracilis และ N.mirabilis
2.Nephenthes Milabiris
สามารถพบได้แทบทุกภาคของประเทศไทยมีการกระจายตัวตั้งแต่จีนตอนใต้
จนถึง ออสเตเรีย เป็นไม้เลื้อยสูงได้ถึง 10 เมตร มีก้านใบ ใบเดี่ยวรูปหอกหรือวงรีแกมขนาน
ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบแบบจักรฟันเลื่อย (serrate)
ที่เส้นใบจะมีท้องลำเลียงน้ำที่ขนานกันเป็นเเนวเห็นได้ชัดเจน
ใบมีลักษณะคล้ายกระดาษ หม้อมีลักษณะยาว ฝาเป็นรูปวงรี ขนาดหม้อประมาณ 3 - 6
นิ้วหรือมากกว่านั้น มีตั้งแต่สีเขียวล้วน เขียวปากแดง แดงล้วน ชมพู
และ เขียวปนแดง ลักษณะดอกเป็นแบบช่อกระจะ (raceme) 1ก้านดอกจะมี
1 ดอกย่อย 1 ดอก ผลเป็นแบบแคปซูล
เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู ออกดอกปีละ 2 ครั้ง ช่วงแรก เดือนมิถุนายน - สิงหาคม ช่วงที่สอง เดือนพฤศจิกายน -
กุมภาพันธุ์ สามารถพบลูกผสมในธรรมาชาติได้ เช่น N.mirabilis and N.thorelii
, N.mirabilis and N.gracilis, N.mirabilis and N.ampullaria เป็นต้น
3.Nephenthes Thoreli
สามารถพบได้ทางภาคใต้(ฝั่งอ่าวไทยเท่านั้น)
ภาคตะวันออก รวมไปถึง ทางตอนใต้ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นไม้พุ่มเลื้อย
สามารถสูงได้ถึง 5 เมตร ใบเดี่ยวรูปหอก ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบเรียบ
ใบหนาคล้ายหนัง ไม่มีก้านใบ แผ่นใบจะโอบรอบครึ่งลำต้น หม้อมีลักษณะยาวป่องบริเวณก้นหม้อ
หม้อมีสีแดงถึงสีส้ม มีลายคล้ายเสือ จึงเป็นที่รู้จักกันดีในนาม "Tiger"
ในวงการไม้กินแมลง ปากหม้อมีลักษณะบาง
ปากหม้ออาจจะมีลายหรือไม่มีก็ได้ ช่อดอกขนาดเล็กทั้งตัวผู้และตัวเมีย ก้านดอกจะมี 1
ดอกย่อย 1 ดอก ออกดอกตลอดทั้งปี
ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู
4.Nephenthes Gracilis
สามารถพบได้บริเวณ นราธิวาส สตูล
สงขลา และยะลา เป็นไม้เลื้อยสูงประมาณ 2 - 4 เมตร ลำต้นเป็นทรงกลม ขนาดเล็ก
ใบเดี่ยวรูปหอก ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบเรียบ
ใบหนาคล้ายหนัง ไม่มีก้านใบ หม้อมีขนาดเล็กลักษณะยาวคอดตรงกลาง ก้นป่องสามารถ
พบหม้อผุดเหมือน N.ampullaria หม้อมีขนาดประมาณ 1-3 นิ้ว มีสีเขียว สีแดง สีดำ ปากหม้อมีลักษณะบาง
ปีกมีลักษณะเป็นฝอยขนาดเล็กๆ ฝามีลักษณะกลม มักพบบริเวณที่ดินเป็นดินลูกรัง
หรือป่าเสื่อมโทรม ออกดอกช่วงเดือน สิงหาคม - ตุลาคม ช่อดอกมีขนาดเล็ก 1 ก้านดอกมี 1 ดอกย่อย ลักษณะดอกเป็นแบบช่อกระจะ (raceme)
ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู
5.Nephenthes Smilesis
สามารถพบได้ที่บริเวณยอดภูต่างๆ
ในภาคอีสาน เช่น ภูกระดึง ภูหลวง ภูเรือ เป็นต้น ลำต้นและใบมีขนสั้นนุ่ม
ทั้งหน้าและท้องใบ ใบเดี่ยวรูปหอก ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบเรียบมีขนเล็กน้อย
ใบนิ่มอ่อน ไม่มีก้านใบ ใบมักจะลู่ลงปลายใบกระดกเล็กน้อย หม้อมีขนาดประมาณ 10
เซนติเมตร หม้อมีสีส้ม ฝาหม้อมีลักษณะเป็นรูปวงรี
ช่อดอกตัวผู้กับดอกตัวเมียมีขนนุ่ม ดอกมีขนาดยาวประมาณ 50 - 100 เซนติเมตร กลีบดอกตัวเมียเมื่อแก่จะไม่บานออก ผลเป็นแบบแคปซูล
เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู ลักษณะคล้าย N.thorelii แต่มีจุดต่างหลายอย่าง
6.Nepehntes Viking
สามารถพบได้ตามหมู่เกาะระ
–หมู่เกาะพระทองของจังหวัดพังงา ซึ่งจัดเป็นพืชถิ่นเดียวของเมืองไทย(endamic species) เป็นไม้เลื้อยสูงประมาณ
4 - 6 เมตร ลำต้นเป็นทรงกลมสีแดง ใบเดี่ยวรูปวงรี ถึง
วงรีขอบขนาน ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบเรียบ
ใบหนาคล้ายหนัง มีก้านใบ มีเส้นกลางใบสีแดง หม้อมีลักษณะกลม ฝามีลักษณะค่อนข้างกลม
ปากหม้อชันคล้าย N.rafflesiana หม้อมีขนาดใหญ่ได้ถึงลูกเทนนิส
ลักษณะดอกเป็นแบบช่อกระจะ (raceme) 1ก้านดอกจะมี 1 ดอกย่อย 1 ดอก ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4
พู ออกดอกปีละ 2 ครั้ง ช่วงแรก เดือนมิถุนายน
- สิงหาคม ช่วงที่สอง เดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธุ์เป็นไม้ที่ให้ลูกผสมที่สวยงาม
คาดการณ์ว่าน่าจะสามารถพบได้ในหมู่เกาะของประเทศพม่าด้วย
ปัจจุบันยังไม่มีชื่อวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนเคยแต่ได้เรียกกันว่า N.globosa แต่เมื่อ เดือนสิงหาคม 2550 ที่งาน Sarawak
summit ที่มาเลเซีย N.globosa ได้ถูกจัดว่าเป็นสายพันธุ์ย่อยของ
N.mirabilis แทน
ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าคงจะมีนักอนุกรมวิธานที่มีความรู้ความสามารถมาเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อทำการจดชื่อวิทยาศาสตร์ต่อไป
บริเวณที่หม้อข้าวหม้อแกงลิงเจริญเติบโต
จะมีลักษณะชุ่มชื้น
ดินร่วนซุยทำให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก สภาพดินมีธาตุอาหารต่ำมาก
และพื้นที่บริเวณนั้นรับแสงได้ดี

และพื้นที่บริเวณนั้นรับแสงได้ดี

ปัจจัยสำคัญในการเจริญเติบโต
สถานที่ปลูก
|
สำหรับบ้านที่มีพื้นที่บริเวณบ้าน
น่าจะเลือกที่มีไม้ใหญ่ขึ้นให้ร่มเงา แต่มีแสงส่องเข้าได้ตลอดวัน
เป็นพื้นดินสนามหญ้าก็จะยิ่งดีครับ เพราะจะได้เรื่องของความชื้นเพิ่มขึ้น วางหม้อข้าวหม้อแกงลิงบนพื้นหญ้า เช็คดูให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
แต่ลมต้องไม่พัดแรงเกินไปเพราะจะทำให้แห้งขาดความชื้น
อาจจะเป็นมุมชิดกำแพงสองด้านมีเพื่อกันลมพัดความชื้นไปหมดก็ดี
ส่วนคนที่อาศัยคอนโด หอพัก
หรืออพาร์ตเม้นท์ เลือกระเบียงที่แสงส่องได้ตลอดวันนะครับ
หม้อจะได้เติบโตดี อาจเพิ่มความชื้นที่ระเบียงด้วยการปูพลาสติกกักน้ำให้จัดอิฐมอญปูพื้นเสมือนการหล่อน้ำ
อิฐมอญจะช่วยดูดน้ำที่ขังในพลาสติกแล้วคายความชื้นออกมาในระหว่างวัน
จะช่วยให้หม้อได้ความชื้นขึ้น แต่สำคัญว่าต้องได้แสงแดดตลอดวัน
|
แสง
|
โดยทั่วไปหม้อข้าวหม้อแกงลิงชอบแสงค่อนข้างแรงประมาณ
60-80% อย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง แต่ไม่ควรให้โดนแดดเที่ยงโดยตรง
สำหรับหม้อที่เป็น Intermediate ไม่จำเป็นต้องลดแสงลง แต่เพิ่มความชื้นมากขึ้น |
ความชื้น
|
คำว่าความชื้นในที่นี้หมายถึงความชื้นในอากาศ ไม่ใช่ความชื้นในดิน และไม่ได้แปลว่าดินเปียก
ความชื้นและแสงมีความสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง หม้อข้าวหม้อแกงลิงได้รับแสงมากขึ้นเท่าไรความชื้นก็จะต้องเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยอยู่ราว 80 % การวัดความชื้นสัมพัทธ์อาจทำได้โดยการใช้เครื่องมือวัดซึ่งมีขายที่ร้าน K.U GARDEN หรือ ศึกษาภัณฑ์ หรืออาจสังเกตว่าบริเวณนั้นมีมอสและตะไคร่น้ำขึ้นดี
หม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นพืชที่ไวต่อความชื้นมากและต้องการความชื้นคงที่สม่ำเสมอตลอดทั้งปี
ฤดูหนาวเป็นช่วงที่ความชื้นในอากาศต่ำสุด ถ้าไม่ดูแลหม้อจะกรอบแห้ง
เช่นเดียวกับฤดูร้อนคือลมแล้งพัดโกรกต้นไม้แห้งตายได้
จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องรักษาความชื้นไว้ให้คงที่
วิธีหนึ่งที่ทำได้คือการใช้พลาสติกคลุมบริเวณที่ปลูกทั้ง 3 ด้าน
และบนหลังคาหรือใช้อิฐมอญหรือทรายหรือวัสดุดูดน้ำได้ปูที่พื้นและลดน้ำให้ชุ่มเสมอ
กับอีกวิธีหนึ่งคือปลูกใต้ไม้ใหญ่หรือวางเสมอพื้น
ความชื้นที่สูงมากก็อาจจะเป็นอันตรายต่อหม้อข้าวหม้อแกงลิงได้ โดยมันมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียหรือโรคอื่นๆ ได้ง่าย ในช่วงกลางวันแดดจัดควรอยู่ราว 50-70% และเพิ่มเป็น 100 % ในตอนกลางคืน (ความชื้น 100% ก็เหมือนกับนำต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงใส่ไว้ในถุง) อย่างไรก็ตามถ้าความชื้นในเครื่องปลูกมีเพียงพอและปลูกหม้อข้าวหม้อแกงลิงแน่นพอ ความชื้นจากเครื่องปลูกก็จะระเหยขึ้นมาทำให้มันอยู่ได้อย่างเข็งแรง |
น้ำ
|
เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่จะต้องให้ดินเปียกชื้นอยู่เสมอ
ถ้าดินแห้งแม้แต่วันเดียวระบบรากอาจจะเสียไปเลยก็ได้
และหม้อข้าวหม้อแกงลิงก็ต่างจากพืชกินแมลงชนิดอื่นๆ
ตรงที่มันไม่ค่อยไวต่อความเค็มหรือเกลือแร่ในดิน นั่นหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้น้ำบริสุทธิ์
หรือน้ำกรอง RO ในการเลี้ยงหม้อข้าวหม้อแกงลิงเหมือนเช่นที่ต้องทำกับดาร์ลิงโทเนีย
หรือกาบหอยแครง ดังนั้นเราจึงสามารถรดได้ด้วยน้ำทุกประเภท
แม้แต่น้ำกระด้าง และสามารถใส่ปุ๋ยได้
หม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นพืชที่ชอบน้ำมาก ในธรรมชาติมันอยู่ในป่าพรุซึ่งมีน้ำสะอาดไหลผ่านตลอดทั้งปี บางครั้งก็ขึ้นอยู่กลางหนองหรือลำธาร รากของมันจุ่มอยู่ในน้ำตลอดเวลา เราสามารถปลูกหม้อข้าวหม้อแกงลิงในลักษณะแช่ในน้ำก็ได้ หรือจะรดน้ำวันละ 1-2 ครั้งก็ได้ แต่มีหลักที่ต้องพิจารณาคือ ถ้าเดิมหม้อข้าวหม้อแกงลิงของคุณปลูกในลักษณะแช่กระถางในน้ำแต่คุณต้องการยกขึ้นมาไว้แบบรดน้ำก็สามารถทำได้เลย โดยในระยะแรกให้รดน้ำมากๆ เข้าไว้ ในทางกลับกันถ้าคุณอยากจะเอาหม้อที่เลี้ยงธรรมดาไปแช่น้ำคุณต้องค่อยๆ ทำเพื่อให้รากเกิดความเคยชิน ไม่เช่นนั้นรากจะเน่า และน้ำต้องสะอาดไม่มีกลิ่นเน่าเหม็นโชยออกมาจากเครื่องปลูก |
อุณหภูมิ
|
หม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิด L/L ชอบอากาศร้อนชื้น
อบอ้าว ส่วนหม้อ
H/L ต้องการความเย็นบนยอดดอยหรือในเมืองหนาว ในบ้านเราจึงสามารถเลี้ยงหม้อ L/L ได้โดยไม่มีปัญหา
ในสภาพธรรมชาติมันอยู่ในที่อุณหภูมิร้อนชื้น ซึ่งอาจมีแสงสว่างหรือแดดจ้าเพียงไม่กี่นาทีก็มีฝนเทลงมา หรืออาจจะกลับคืนสภาพแดดจัดอีกโดยไม่เป็นอันตรายกับหม้อข้าวหม้อแกงลิงแม้แต่น้อย
เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าเป็นห่วง แต่อย่างไรก็ตามคุณต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์ในเรื่องของแสงและอุณหภูมิไว้ด้วยกัน
เพราะแสงแดดจัดอุณหภูมิสูงความชื้นก็ต้องสูงตามด้วย มิฉะนั้นหม้อจะฝ่อ
|
เครื่องปลูก
|
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่อยู่ในที่ธรรมชาติ
กับหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่อยู่ในกระถางจะใช้เครื่องปลูกต่างกัน ห้ามปลูกด้วยดินครับ เครื่องปลูกที่เหมาะกับการปลูกเลี้ยง
แสะสามารถหาเลือกใช้ สำหรับหม้อข้าวหม้อแกงลิงสายพันธุ์จากต่างประเทศ ทั้งสายพันธุ์แท้และลูกผสม อาจเลือกใช้สแฟกนั่มมอสล้วนๆ
เป็นวัสดุปลูกเพียงอย่างเดียว หรืออาจมองหาเปลือกสนนิวซีแลนด์ล้วนๆ
เป็นเครื่องปลูกก็ได้ครับ ส่วนหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่เป็นไม้ถิ่นไทยแท้
หรือแม้แต่ลูกผสม อาจจะใช้วัสดุที่กล่าวมาข้างต้น หรือเลือกใช้มะพร้าวสับล้วนแช่น้ำก่อนอย่างน้อย
3 คืนเป็นเครื่องปลูกก็ได้ ง่ายดีครับข้อเสียมีเพียงมะพร้าวยุ่ยง่าย
ประมาณสามสีเดือนก็ควรจะเปลี่ยนเครื่องปลูกแล้ว บางครั้ง
หลายๆ
ท่านเกรงว่าเครื่องปลูกมะพร้าวเสื่อมเร็วอาจจะมีการผสมเพอร์ไลน์ หรือหินภูเขาไฟเบอร์เล็กเข้าไปบ้างก็ได้นะครับ ช่วยให้เครื่องปลูกโปร่งขึ้น ยืดระยะเวลาได้
|
ปุ๋ย |
เขตการกระจายพันธุ์ของหม้อข้าวหม้อแกงลิงในประเทศไทย
หม้อข้าวหม้อแกงลิงสามารถพบได้ทุกภาคในประเทศไทย
มักจะเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่ดินมีความชื้น ขาดสารอาหาร
และอยู่ในพื้นที่ที่รับแสงได้ดี
ในประเทศไทยจะมีการกระจายตัวอย่างหนาแน่นในบริเวณภาคใต้ไล่จนไปถึงมาเลเซีย
การขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ
ในธรรมชาติหม้อข้าวหม้อแกงลิงสามารถขยายพันธุ์ได้
2 วิธี ได้แก่
1.เมล็ด ซึ่งเป็นการขยายพันธุ์ที่สำคัญที่สุด
ก่อให้เกิดความหลากหลายทางสายพันธุ์ทำให้หม้อข้าหม้อแกงลิงรุ่นใหม่ๆ
มีสายพันธุ์ที่แข็งแรงยิ่งขึ้นสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี
อีกทั้งเมล็ดยังมีลักษณะที่เล็กและเบาจึงสามารถล่องลอยไปตามลมได้ไกลจากต้นแม่ ทำให้หม้อข้าวหม้อแกงลิงจะขึ้นกระจัดกระจายเป็นวงกว้าง
2.การแตกหน่อ เป็นการเพิ่มจำนวนบริเวณโคนต้นแม่ โดยที่ต้นลูกจะมีลักษณะเหมือนกับต้นแม่ทุกประการ
การขยายพันธุ์แบบนี้
ช่วยให้ได้กอของต้นที่แข็งแรงยิ่งขึ้นป้องกันภัยทางธรรมชาติได้ดีกว่าการเจริญเติบโตแบบต้นเดี่ยว
3.ไหล บางสายพันธุ์ของหม้อข้าวหม้อแกงลิงมีไหลอยู่ใต้ดิน ช่วยให้มีตาผุดขึ้นมามากมาย
การขยายพันธุ์ลักษณะนี้คล้ายกับการแตกหน่อแทบทุกประการ เพียงแต่ครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น