วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

หม้อข้าวหม้อแกงลิง


ประเภทของหม้อข้าวหม้อแกงลิง
                          หม้อข้าวหม้อแกงลิงสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ตามระดับความสูงขงน้ำทะเล ดังนี้
กลุ่มที่หนึ่ง  กล่ม Lowland
                              
                    เป็นสายพันธุ์ที่สามารถพบได้ที่ระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 0 – 1000 เมตร ซึ่งไม้ในกลุ่มนี้สามารถเลี้ยงได้ในสภาพอากาศแบบบ้านเรา กลุ่มนี้มีประมาณ 40 กว่าสายพันธุ์ เช่น N.albomarginata, N.ampullaria, N.gracilis, N.northiana, N.mirabilis, N.truncata เป็นต้น ไม้กลุ่มนี้พบได้ในป่าพรุและพื้นที่สภาพดินขาดธาตุอาหาร หรือป่าเสื่อมโทรม
กลุ่มที่สอง  กลุ่ม  Highland









           เป็นสายพันธุ์ที่สามารถพบได้ที่ระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1000 เมตรขึ้นไป ซึ่งไม้กลุ่มนี้มีความต้องการความชื้นค่อนข้างสูง และสภาพอากาศต้องค่อนข้างเย็นยากต่อการเลี้ยงในสภาพอากาศแบบบ้านเรา แต่บางชนิดอาจสามารถปรับตัวจนเติบโตได้แต่ขนาดของหม้ออาจจะไม่ใหญ่เหมือนกับการเลี้ยงในสภาพ Highland กลุ่มนี้มีมากกว่า 60 ชนิด เช่น N.aristolochioides, N.burbidgeae, N.glabrata, N.glandulifera, N.rajah, N.sibuyanensis, N.spectabilis, N.villosa เป็นต้น

การวิวัฒนาการของหม้อข้าวหม้อแกงลิง
แต่เดิมพืชชนิดนี้ลักษณะเหมือนพืชใบเลี้ยงเดี่ยวทั่วไป  แต่สถานที่ที่พืชชนิดนี้อาศัยอยู่มีปริมาณแร่ธาตุที่น้อยเกินไป  พืชชนิดนี้จึงต้องปรับตัวเพื่อให้ได้มาซึ่งแร่ธาตุเพิ่มเติม  โดยลำดับการวิวัฒนาการเป็นดังนี้
1.โคนใบจะขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นใบเทียม  ก้านใบยืดยาวออกทำให้เกิดการแยกส่วนของใบเป็นสองช่วง
2.ปลายใบเริ่มหัวตัวมีลักษณะคล้ายหม้อ  และมีการพัฒนาให้มีฝาปิดตัวหม้อ
3.การพัฒนาตัวหม้อเสร็จสมบูรณ์  ผิวภายในหม้อมีเซลล์ที่สามารถหลั่งเอนไซม์ในการย่อยแมลงได้ และสามารถดูดซึมสารอาหารได้ บริเวณปากหม้อมีเซลล์ที่หลั่งน้ำหล่อลื่นมาเคลือบ
สายพันธุ์หม้อข้าวหม้อแกงลิงที่พบในประเทศไทย
จากการสำรวจแหล่งที่อยู่อาศัยที่พบหม้อข้าวหม้อแกงลิงในประเทศไทย  พบสายพันธุ์ดั้งเดิมทั้งสิ้น 6 สายพันธุ์ โดยมีความเป็นไปได้ว่ายังมีสายพันธุ์ที่ขาดการสำรวจอยู่อีกที่รอการค้นพบในอนาคต
1.Nephenthes Ampullaria
 พบในประเทศไทยที่ปัตตานี สตูล  สงชลาและพื้นที่ในแนวติดกับมาเลเซีย ลักษณะเด่นเป็นไม้เลื้อย สูงได้ถึง 12 เมตร ลักษณะหม้อเป็นทรงกลมมีฝาปิดขนาดเล็กจนถึงเล็กมาก  สีที่พบในประเทศไทยมีสีเขียว และสีลายจุด  ที่บริเวณลำต้นและใบจะมีขนนุ่มสีน้ำตาลจำนวนมากโดยเฉพาะใบอ่อน และท้องใบ ใบเดี่ยวรู)หอกหรือวงรีแกมขนาน  ใบเรียงตัวเป็นเกลียว ขอบใบเรียบ ออกดอกในช่วง ตุลาคม – มกราคมของทุกปี ต้นที่มีขนาดใหญ่จีหม้อผุตออกมาที่บริเวณไหลและโคนต้น หม้อผุดมักจะไม่มีแผ่นใบให้เห็นชัดเจน ในธรรมชาติหม้อสามารถใหญ่ได้ถึง 5 นิ้ว หม้อบนหาดูได้ยากมาก เมื่อต้นสูง 1-2 เมตรก็จะเริ่มออกดอก(แล้วแต่ความสมบูรณ์ของต้น)  ลักษณะดอกเป็นแบบช่อกระจะ 1 ก้านดอกจะมี 3 ดอกย่อยปลายเกสรตัวผู้เมื่อเร่มบานออกจะมีสีแดง เกสรตัวผู้บานเต็มที่ในช่วงเย็นจนถึงเช้าตรู่  ผลเป็นแบบแคปซูล  เมื่อแตกจะแตกเป็นพู 4 พูมีการผสมข้ามสายพันธุ์กับ N.gracilis และ N.mirabilis


2.Nephenthes Milabiris
สามารถพบได้แทบทุกภาคของประเทศไทยมีการกระจายตัวตั้งแต่จีนตอนใต้ จนถึง ออสเตเรีย เป็นไม้เลื้อยสูงได้ถึง 10 เมตร มีก้านใบ ใบเดี่ยวรูปหอกหรือวงรีแกมขนาน ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบแบบจักรฟันเลื่อย (serrate) ที่เส้นใบจะมีท้องลำเลียงน้ำที่ขนานกันเป็นเเนวเห็นได้ชัดเจน ใบมีลักษณะคล้ายกระดาษ หม้อมีลักษณะยาว ฝาเป็นรูปวงรี ขนาดหม้อประมาณ 3 - 6 นิ้วหรือมากกว่านั้น มีตั้งแต่สีเขียวล้วน เขียวปากแดง แดงล้วน ชมพู และ เขียวปนแดง ลักษณะดอกเป็นแบบช่อกระจะ (raceme) 1ก้านดอกจะมี 1 ดอกย่อย 1 ดอก ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู ออกดอกปีละ 2 ครั้ง ช่วงแรก เดือนมิถุนายน - สิงหาคม ช่วงที่สอง เดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธุ์ สามารถพบลูกผสมในธรรมาชาติได้ เช่น N.mirabilis and N.thorelii , N.mirabilis and N.gracilis, N.mirabilis and N.ampullaria เป็นต้น

3.Nephenthes Thoreli
สามารถพบได้ทางภาคใต้(ฝั่งอ่าวไทยเท่านั้น) ภาคตะวันออก รวมไปถึง ทางตอนใต้ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นไม้พุ่มเลื้อย สามารถสูงได้ถึง 5 เมตร ใบเดี่ยวรูปหอก ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบเรียบ ใบหนาคล้ายหนัง ไม่มีก้านใบ แผ่นใบจะโอบรอบครึ่งลำต้น หม้อมีลักษณะยาวป่องบริเวณก้นหม้อ หม้อมีสีแดงถึงสีส้ม มีลายคล้ายเสือ จึงเป็นที่รู้จักกันดีในนาม "Tiger" ในวงการไม้กินแมลง ปากหม้อมีลักษณะบาง ปากหม้ออาจจะมีลายหรือไม่มีก็ได้ ช่อดอกขนาดเล็กทั้งตัวผู้และตัวเมีย ก้านดอกจะมี 1 ดอกย่อย 1 ดอก ออกดอกตลอดทั้งปี ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู
4.Nephenthes Gracilis
สามารถพบได้บริเวณ นราธิวาส สตูล สงขลา และยะลา เป็นไม้เลื้อยสูงประมาณ 2 - 4 เมตร ลำต้นเป็นทรงกลม ขนาดเล็ก ใบเดี่ยวรูปหอก ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบเรียบ ใบหนาคล้ายหนัง ไม่มีก้านใบ หม้อมีขนาดเล็กลักษณะยาวคอดตรงกลาง ก้นป่องสามารถ พบหม้อผุดเหมือน N.ampullaria หม้อมีขนาดประมาณ 1-3 นิ้ว มีสีเขียว สีแดง สีดำ ปากหม้อมีลักษณะบาง ปีกมีลักษณะเป็นฝอยขนาดเล็กๆ ฝามีลักษณะกลม มักพบบริเวณที่ดินเป็นดินลูกรัง หรือป่าเสื่อมโทรม ออกดอกช่วงเดือน สิงหาคม - ตุลาคม ช่อดอกมีขนาดเล็ก 1 ก้านดอกมี 1 ดอกย่อย ลักษณะดอกเป็นแบบช่อกระจะ (raceme) ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู

5.Nephenthes Smilesis
สามารถพบได้ที่บริเวณยอดภูต่างๆ ในภาคอีสาน เช่น ภูกระดึง ภูหลวง ภูเรือ เป็นต้น ลำต้นและใบมีขนสั้นนุ่ม ทั้งหน้าและท้องใบ ใบเดี่ยวรูปหอก ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบเรียบมีขนเล็กน้อย ใบนิ่มอ่อน ไม่มีก้านใบ ใบมักจะลู่ลงปลายใบกระดกเล็กน้อย หม้อมีขนาดประมาณ 10 เซนติเมตร หม้อมีสีส้ม ฝาหม้อมีลักษณะเป็นรูปวงรี ช่อดอกตัวผู้กับดอกตัวเมียมีขนนุ่ม ดอกมีขนาดยาวประมาณ 50 - 100 เซนติเมตร กลีบดอกตัวเมียเมื่อแก่จะไม่บานออก ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู ลักษณะคล้าย N.thorelii แต่มีจุดต่างหลายอย่าง
6.Nepehntes Viking
สามารถพบได้ตามหมู่เกาะระ –หมู่เกาะพระทองของจังหวัดพังงา ซึ่งจัดเป็นพืชถิ่นเดียวของเมืองไทย(endamic species) เป็นไม้เลื้อยสูงประมาณ 4 - 6 เมตร ลำต้นเป็นทรงกลมสีแดง ใบเดี่ยวรูปวงรี ถึง วงรีขอบขนาน ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบเรียบ ใบหนาคล้ายหนัง มีก้านใบ มีเส้นกลางใบสีแดง หม้อมีลักษณะกลม ฝามีลักษณะค่อนข้างกลม ปากหม้อชันคล้าย N.rafflesiana หม้อมีขนาดใหญ่ได้ถึงลูกเทนนิส ลักษณะดอกเป็นแบบช่อกระจะ (raceme) 1ก้านดอกจะมี 1 ดอกย่อย 1 ดอก ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู ออกดอกปีละ 2 ครั้ง ช่วงแรก เดือนมิถุนายน - สิงหาคม ช่วงที่สอง เดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธุ์เป็นไม้ที่ให้ลูกผสมที่สวยงาม คาดการณ์ว่าน่าจะสามารถพบได้ในหมู่เกาะของประเทศพม่าด้วย ปัจจุบันยังไม่มีชื่อวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนเคยแต่ได้เรียกกันว่า N.globosa แต่เมื่อ เดือนสิงหาคม 2550 ที่งาน Sarawak summit ที่มาเลเซีย N.globosa ได้ถูกจัดว่าเป็นสายพันธุ์ย่อยของ N.mirabilis แทน ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าคงจะมีนักอนุกรมวิธานที่มีความรู้ความสามารถมาเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อทำการจดชื่อวิทยาศาสตร์ต่อไป
บริเวณที่หม้อข้าวหม้อแกงลิงเจริญเติบโต
จะมีลักษณะชุ่มชื้น ดินร่วนซุยทำให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก สภาพดินมีธาตุอาหารต่ำมาก
และพื้นที่บริเวณนั้นรับแสงได้ดี








ปัจจัยสำคัญในการเจริญเติบโต
สถานที่ปลูก
                สำหรับบ้านที่มีพื้นที่บริเวณบ้าน  น่าจะเลือกที่มีไม้ใหญ่ขึ้นให้ร่มเงา  แต่มีแสงส่องเข้าได้ตลอดวัน  เป็นพื้นดินสนามหญ้าก็จะยิ่งดีครับ  เพราะจะได้เรื่องของความชื้นเพิ่มขึ้น วางหม้อข้าวหม้อแกงลิงบนพื้นหญ้า เช็คดูให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก  แต่ลมต้องไม่พัดแรงเกินไปเพราะจะทำให้แห้งขาดความชื้น  อาจจะเป็นมุมชิดกำแพงสองด้านมีเพื่อกันลมพัดความชื้นไปหมดก็ดี    ส่วนคนที่อาศัยคอนโด  หอพัก  หรืออพาร์ตเม้นท์  เลือกระเบียงที่แสงส่องได้ตลอดวันนะครับ  หม้อจะได้เติบโตดี  อาจเพิ่มความชื้นที่ระเบียงด้วยการปูพลาสติกกักน้ำให้จัดอิฐมอญปูพื้นเสมือนการหล่อน้ำ อิฐมอญจะช่วยดูดน้ำที่ขังในพลาสติกแล้วคายความชื้นออกมาในระหว่างวัน  จะช่วยให้หม้อได้ความชื้นขึ้น  แต่สำคัญว่าต้องได้แสงแดดตลอดวัน
แสง
             โดยทั่วไปหม้อข้าวหม้อแกงลิงชอบแสงค่อนข้างแรงประมาณ 60-80%  อย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง  แต่ไม่ควรให้โดนแดดเที่ยงโดยตรง
สำหรับหม้อที่เป็น Intermediate ไม่จำเป็นต้องลดแสงลง  แต่เพิ่มความชื้นมากขึ้น

ความชื้น
             คำว่าความชื้นในที่นี้หมายถึงความชื้นในอากาศ  ไม่ใช่ความชื้นในดิน  และไม่ได้แปลว่าดินเปียก
ความชื้นและแสงมีความสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง หม้อข้าวหม้อแกงลิงได้รับแสงมากขึ้นเท่าไรความชื้นก็จะต้องเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น  ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยอยู่ราว 80 %
การวัดความชื้นสัมพัทธ์อาจทำได้โดยการใช้เครื่องมือวัดซึ่งมีขายที่ร้าน K.U GARDEN หรือ ศึกษาภัณฑ์  หรืออาจสังเกตว่าบริเวณนั้นมีมอสและตะไคร่น้ำขึ้นดี
            หม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นพืชที่ไวต่อความชื้นมากและต้องการความชื้นคงที่สม่ำเสมอตลอดทั้งปี ฤดูหนาวเป็นช่วงที่ความชื้นในอากาศต่ำสุด  ถ้าไม่ดูแลหม้อจะกรอบแห้ง   เช่นเดียวกับฤดูร้อนคือลมแล้งพัดโกรกต้นไม้แห้งตายได้ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องรักษาความชื้นไว้ให้คงที่ วิธีหนึ่งที่ทำได้คือการใช้พลาสติกคลุมบริเวณที่ปลูกทั้ง 3 ด้าน และบนหลังคาหรือใช้อิฐมอญหรือทรายหรือวัสดุดูดน้ำได้ปูที่พื้นและลดน้ำให้ชุ่มเสมอ  กับอีกวิธีหนึ่งคือปลูกใต้ไม้ใหญ่หรือวางเสมอพื้น
           ความชื้นที่สูงมากก็อาจจะเป็นอันตรายต่อหม้อข้าวหม้อแกงลิงได้ โดยมันมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียหรือโรคอื่นๆ ได้ง่าย  ในช่วงกลางวันแดดจัดควรอยู่ราว 50-70% และเพิ่มเป็น 100 %   ในตอนกลางคืน (ความชื้น 100% ก็เหมือนกับนำต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงใส่ไว้ในถุง) อย่างไรก็ตามถ้าความชื้นในเครื่องปลูกมีเพียงพอและปลูกหม้อข้าวหม้อแกงลิงแน่นพอ  ความชื้นจากเครื่องปลูกก็จะระเหยขึ้นมาทำให้มันอยู่ได้อย่างเข็งแรง
น้ำ
           เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่จะต้องให้ดินเปียกชื้นอยู่เสมอ 
  ถ้าดินแห้งแม้แต่วันเดียวระบบรากอาจจะเสียไปเลยก็ได้  และหม้อข้าวหม้อแกงลิงก็ต่างจากพืชกินแมลงชนิดอื่นๆ ตรงที่มันไม่ค่อยไวต่อความเค็มหรือเกลือแร่ในดิน  นั่นหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้น้ำบริสุทธิ์  หรือน้ำกรอง RO ในการเลี้ยงหม้อข้าวหม้อแกงลิงเหมือนเช่นที่ต้องทำกับดาร์ลิงโทเนีย หรือกาบหอยแครง    ดังนั้นเราจึงสามารถรดได้ด้วยน้ำทุกประเภท  แม้แต่น้ำกระด้าง  และสามารถใส่ปุ๋ยได้
           หม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นพืชที่ชอบน้ำมาก  ในธรรมชาติมันอยู่ในป่าพรุซึ่งมีน้ำสะอาดไหลผ่านตลอดทั้งปี  บางครั้งก็ขึ้นอยู่กลางหนองหรือลำธาร  รากของมันจุ่มอยู่ในน้ำตลอดเวลา  เราสามารถปลูกหม้อข้าวหม้อแกงลิงในลักษณะแช่ในน้ำก็ได้  หรือจะรดน้ำวันละ 1-2 ครั้งก็ได้  แต่มีหลักที่ต้องพิจารณาคือ  ถ้าเดิมหม้อข้าวหม้อแกงลิงของคุณปลูกในลักษณะแช่กระถางในน้ำแต่คุณต้องการยกขึ้นมาไว้แบบรดน้ำก็สามารถทำได้เลย  โดยในระยะแรกให้รดน้ำมากๆ  เข้าไว้  ในทางกลับกันถ้าคุณอยากจะเอาหม้อที่เลี้ยงธรรมดาไปแช่น้ำคุณต้องค่อยๆ ทำเพื่อให้รากเกิดความเคยชิน  ไม่เช่นนั้นรากจะเน่า  และน้ำต้องสะอาดไม่มีกลิ่นเน่าเหม็นโชยออกมาจากเครื่องปลูก

อุณหภูมิ
             หม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิด  L/L  ชอบอากาศร้อนชื้น  อบอ้าว  ส่วนหม้อ  H/L  ต้องการความเย็นบนยอดดอยหรือในเมืองหนาว  ในบ้านเราจึงสามารถเลี้ยงหม้อ  L/L  ได้โดยไม่มีปัญหา  ในสภาพธรรมชาติมันอยู่ในที่อุณหภูมิร้อนชื้น  ซึ่งอาจมีแสงสว่างหรือแดดจ้าเพียงไม่กี่นาทีก็มีฝนเทลงมา  หรืออาจจะกลับคืนสภาพแดดจัดอีกโดยไม่เป็นอันตรายกับหม้อข้าวหม้อแกงลิงแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าเป็นห่วง  แต่อย่างไรก็ตามคุณต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์ในเรื่องของแสงและอุณหภูมิไว้ด้วยกัน  เพราะแสงแดดจัดอุณหภูมิสูงความชื้นก็ต้องสูงตามด้วย  มิฉะนั้นหม้อจะฝ่อ
เครื่องปลูก
          ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่อยู่ในที่ธรรมชาติ กับหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่อยู่ในกระถางจะใช้เครื่องปลูกต่างกัน  ห้ามปลูกด้วยดินครับ  เครื่องปลูกที่เหมาะกับการปลูกเลี้ยง แสะสามารถหาเลือกใช้       สำหรับหม้อข้าวหม้อแกงลิงสายพันธุ์จากต่างประเทศ  ทั้งสายพันธุ์แท้และลูกผสม  อาจเลือกใช้สแฟกนั่มมอสล้วนๆ เป็นวัสดุปลูกเพียงอย่างเดียว  หรืออาจมองหาเปลือกสนนิวซีแลนด์ล้วนๆ เป็นเครื่องปลูกก็ได้ครับ         ส่วนหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่เป็นไม้ถิ่นไทยแท้ หรือแม้แต่ลูกผสม อาจจะใช้วัสดุที่กล่าวมาข้างต้น  หรือเลือกใช้มะพร้าวสับล้วนแช่น้ำก่อนอย่างน้อย 3 คืนเป็นเครื่องปลูกก็ได้  ง่ายดีครับข้อเสียมีเพียงมะพร้าวยุ่ยง่าย ประมาณสามสีเดือนก็ควรจะเปลี่ยนเครื่องปลูกแล้ว  บางครั้ง  หลายๆ ท่านเกรงว่าเครื่องปลูกมะพร้าวเสื่อมเร็วอาจจะมีการผสมเพอร์ไลน์  หรือหินภูเขาไฟเบอร์เล็กเข้าไปบ้างก็ได้นะครับ  ช่วยให้เครื่องปลูกโปร่งขึ้น ยืดระยะเวลาได้

ปุ๋ย
                 หม้อข้าวหม้อแกงลิงสามารถใส่ปุ๋ยได้  ที่ใช้กันโดยทั่วๆ  ไปคือ  ออสโมโค้ดสูตร  3 เดือน หรืออาจเป็นสูตร  6 เดือน (คือ 3 เดือนใส่ครั้งหนึ่ง หรือ 6 เดือนใส่ครั้งหนึ่ง)  ใส่ครั้งละประมาณ 5 -8 เม็ด
เขตการกระจายพันธุ์ของหม้อข้าวหม้อแกงลิงในประเทศไทย
หม้อข้าวหม้อแกงลิงสามารถพบได้ทุกภาคในประเทศไทย  มักจะเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่ดินมีความชื้น  ขาดสารอาหาร  และอยู่ในพื้นที่ที่รับแสงได้ดี  ในประเทศไทยจะมีการกระจายตัวอย่างหนาแน่นในบริเวณภาคใต้ไล่จนไปถึงมาเลเซีย 
การขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ
ในธรรมชาติหม้อข้าวหม้อแกงลิงสามารถขยายพันธุ์ได้ 2 วิธี ได้แก่
1.เมล็ด              ซึ่งเป็นการขยายพันธุ์ที่สำคัญที่สุด  ก่อให้เกิดความหลากหลายทางสายพันธุ์ทำให้หม้อข้าหม้อแกงลิงรุ่นใหม่ๆ  มีสายพันธุ์ที่แข็งแรงยิ่งขึ้นสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี  อีกทั้งเมล็ดยังมีลักษณะที่เล็กและเบาจึงสามารถล่องลอยไปตามลมได้ไกลจากต้นแม่  ทำให้หม้อข้าวหม้อแกงลิงจะขึ้นกระจัดกระจายเป็นวงกว้าง
2.การแตกหน่อ               เป็นการเพิ่มจำนวนบริเวณโคนต้นแม่  โดยที่ต้นลูกจะมีลักษณะเหมือนกับต้นแม่ทุกประการ การขยายพันธุ์แบบนี้  ช่วยให้ได้กอของต้นที่แข็งแรงยิ่งขึ้นป้องกันภัยทางธรรมชาติได้ดีกว่าการเจริญเติบโตแบบต้นเดี่ยว 
3.ไหล               บางสายพันธุ์ของหม้อข้าวหม้อแกงลิงมีไหลอยู่ใต้ดิน  ช่วยให้มีตาผุดขึ้นมามากมาย  การขยายพันธุ์ลักษณะนี้คล้ายกับการแตกหน่อแทบทุกประการ  เพียงแต่ครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างกว่า









วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประเภทของหม้อข้าวหม้อแกงลิง
หม้อข้าวหม้อแกงลิงสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ตามระดับความสูงขงน้ำทะเล ดังนี้
กลุ่มที่หนึ่ง  กล่ม Lowland
              เป็นสายพันธุ์ที่สามารถพบได้ที่ระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 0 – 1000 เมตร ซึ่งไม้ในกลุ่มนี้สามารถเลี้ยงได้ในสภาพอากาศแบบบ้านเรา กลุ่มนี้มีประมาณ 40 กว่าสายพันธุ์ เช่น N.albomarginata, N.ampullaria, N.gracilis, N.northiana, N.mirabilis, N.truncata เป็นต้น ไม้กลุ่มนี้พบได้ในป่าพรุและพื้นที่สภาพดินขาดธาตุอาหาร หรือป่าเสื่อมโทรม
กลุ่มที่สอง  กลุ่ม  Highland
           เป็นสายพันธุ์ที่สามารถพบได้ที่ระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1000 เมตรขึ้นไป ซึ่งไม้กลุ่มนี้มีความต้องการความชื้นค่อนข้างสูง และสภาพอากาศต้องค่อนข้างเย็นยากต่อการเลี้ยงในสภาพอากาศแบบบ้านเรา แต่บางชนิดอาจสามารถปรับตัวจนเติบโตได้แต่ขนาดของหม้ออาจจะไม่ใหญ่เหมือนกับการเลี้ยงในสภาพ Highland กลุ่มนี้มีมากกว่า 60 ชนิด เช่น N.aristolochioides, N.burbidgeae, N.glabrata, N.glandulifera, N.rajah, N.sibuyanensis, N.spectabilis, N.villosa เป็นต้น

การวิวัฒนาการของหม้อข้าวหม้อแกงลิง
แต่เดิมพืชชนิดนี้ลักษณะเหมือนพืชใบเลี้ยงเดี่ยวทั่วไป  แต่สถานที่ที่พืชชนิดนี้อาศัยอยู่มีปริมาณแร่ธาตุที่น้อยเกินไป  พืชชนิดนี้จึงต้องปรับตัวเพื่อให้ได้มาซึ่งแร่ธาตุเพิ่มเติม  โดยลำดับการวิวัฒนาการเป็นดังนี้
1.โคนใบจะขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นใบเทียม  ก้านใบยืดยาวออกทำให้เกิดการแยกส่วนของใบเป็นสองช่วง
2.ปลายใบเริ่มหัวตัวมีลักษณะคล้ายหม้อ  และมีการพัฒนาให้มีฝาปิดตัวหม้อ
3.การพัฒนาตัวหม้อเสร็จสมบูรณ์  ผิวภายในหม้อมีเซลล์ที่สามารถหลั่งเอนไซม์ในการย่อยแมลงได้ และสามารถดูดซึมสารอาหารได้ บริเวณปากหม้อมีเซลล์ที่หลั่งน้ำหล่อลื่นมาเคลือบ


สายพันธุ์หม้อข้าวหม้อแกงลิงที่พบในประเทศไทย
จากการสำรวจแหล่งที่อยู่อาศัยที่พบหม้อข้าวหม้อแกงลิงในประเทศไทย  พบสายพันธุ์ดั้งเดิมทั้งสิ้น 6 สายพันธุ์ โดยมีความเป็นไปได้ว่ายังมีสายพันธุ์ที่ขาดการสำรวจอยู่อีกที่รอการค้นพบในอนาคต
1.Nephenthes Ampullaria
 พบในประเทศไทยที่ปัตตานี สตูล  สงชลาและพื้นที่ในแนวติดกับมาเลเซีย ลักษณะเด่นเป็นไม้เลื้อย สูงได้ถึง 12 เมตร ลักษณะหม้อเป็นทรงกลมมีฝาปิดขนาดเล็กจนถึงเล็กมาก  สีที่พบในประเทศไทยมีสีเขียว และสีลายจุด  ที่บริเวณลำต้นและใบจะมีขนนุ่มสีน้ำตาลจำนวนมากโดยเฉพาะใบอ่อน และท้องใบ ใบเดี่ยวรู)หอกหรือวงรีแกมขนาน  ใบเรียงตัวเป็นเกลียว ขอบใบเรียบ ออกดอกในช่วง ตุลาคม – มกราคมของทุกปี ต้นที่มีขนาดใหญ่จีหม้อผุตออกมาที่บริเวณไหลและโคนต้น หม้อผุดมักจะไม่มีแผ่นใบให้เห็นชัดเจน ในธรรมชาติหม้อสามารถใหญ่ได้ถึง 5 นิ้ว หม้อบนหาดูได้ยากมาก เมื่อต้นสูง 1-2 เมตรก็จะเริ่มออกดอก(แล้วแต่ความสมบูรณ์ของต้น)  ลักษณะดอกเป็นแบบช่อกระจะ 1 ก้านดอกจะมี 3 ดอกย่อยปลายเกสรตัวผู้เมื่อเร่มบานออกจะมีสีแดง เกสรตัวผู้บานเต็มที่ในช่วงเย็นจนถึงเช้าตรู่  ผลเป็นแบบแคปซูล  เมื่อแตกจะแตกเป็นพู 4 พูมีการผสมข้ามสายพันธุ์กับ N.gracilis และ N.mirabilis
2.Nephenthes Milabiris
สามารถพบได้แทบทุกภาคของประเทศไทยมีการกระจายตัวตั้งแต่จีนตอนใต้ จนถึง ออสเตเรีย เป็นไม้เลื้อยสูงได้ถึง 10 เมตร มีก้านใบ ใบเดี่ยวรูปหอกหรือวงรีแกมขนาน ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบแบบจักรฟันเลื่อย (serrate) ที่เส้นใบจะมีท้องลำเลียงน้ำที่ขนานกันเป็นเเนวเห็นได้ชัดเจน ใบมีลักษณะคล้ายกระดาษ หม้อมีลักษณะยาว ฝาเป็นรูปวงรี ขนาดหม้อประมาณ 3 - 6 นิ้วหรือมากกว่านั้น มีตั้งแต่สีเขียวล้วน เขียวปากแดง แดงล้วน ชมพู และ เขียวปนแดง ลักษณะดอกเป็นแบบช่อกระจะ (raceme) 1ก้านดอกจะมี 1 ดอกย่อย 1 ดอก ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู ออกดอกปีละ 2 ครั้ง ช่วงแรก เดือนมิถุนายน - สิงหาคม ช่วงที่สอง เดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธุ์ สามารถพบลูกผสมในธรรมาชาติได้ เช่น N.mirabilis and N.thorelii , N.mirabilis and N.gracilis, N.mirabilis and N.ampullaria เป็นต้น

3.Nephenthes Thoreli
สามารถพบได้ทางภาคใต้(ฝั่งอ่าวไทยเท่านั้น) ภาคตะวันออก รวมไปถึง ทางตอนใต้ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นไม้พุ่มเลื้อย สามารถสูงได้ถึง 5 เมตร ใบเดี่ยวรูปหอก ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบเรียบ ใบหนาคล้ายหนัง ไม่มีก้านใบ แผ่นใบจะโอบรอบครึ่งลำต้น หม้อมีลักษณะยาวป่องบริเวณก้นหม้อ หม้อมีสีแดงถึงสีส้ม มีลายคล้ายเสือ จึงเป็นที่รู้จักกันดีในนาม "Tiger" ในวงการไม้กินแมลง ปากหม้อมีลักษณะบาง ปากหม้ออาจจะมีลายหรือไม่มีก็ได้ ช่อดอกขนาดเล็กทั้งตัวผู้และตัวเมีย ก้านดอกจะมี 1 ดอกย่อย 1 ดอก ออกดอกตลอดทั้งปี ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู
4.Nephenthes Gracilis
สามารถพบได้บริเวณ นราธิวาส สตูล สงขลา และยะลา เป็นไม้เลื้อยสูงประมาณ 2 - 4 เมตร ลำต้นเป็นทรงกลม ขนาดเล็ก ใบเดี่ยวรูปหอก ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบเรียบ ใบหนาคล้ายหนัง ไม่มีก้านใบ หม้อมีขนาดเล็กลักษณะยาวคอดตรงกลาง ก้นป่องสามารถ พบหม้อผุดเหมือน N.ampullaria หม้อมีขนาดประมาณ 1-3 นิ้ว มีสีเขียว สีแดง สีดำ ปากหม้อมีลักษณะบาง ปีกมีลักษณะเป็นฝอยขนาดเล็กๆ ฝามีลักษณะกลม มักพบบริเวณที่ดินเป็นดินลูกรัง หรือป่าเสื่อมโทรม ออกดอกช่วงเดือน สิงหาคม - ตุลาคม ช่อดอกมีขนาดเล็ก 1 ก้านดอกมี 1 ดอกย่อย ลักษณะดอกเป็นแบบช่อกระจะ (raceme) ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู
5.Nephenthes Smilesis
สามารถพบได้ที่บริเวณยอดภูต่างๆ ในภาคอีสาน เช่น ภูกระดึง ภูหลวง ภูเรือ เป็นต้น ลำต้นและใบมีขนสั้นนุ่ม ทั้งหน้าและท้องใบ ใบเดี่ยวรูปหอก ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบเรียบมีขนเล็กน้อย ใบนิ่มอ่อน ไม่มีก้านใบ ใบมักจะลู่ลงปลายใบกระดกเล็กน้อย หม้อมีขนาดประมาณ 10 เซนติเมตร หม้อมีสีส้ม ฝาหม้อมีลักษณะเป็นรูปวงรี ช่อดอกตัวผู้กับดอกตัวเมียมีขนนุ่ม ดอกมีขนาดยาวประมาณ 50 - 100 เซนติเมตร กลีบดอกตัวเมียเมื่อแก่จะไม่บานออก ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู ลักษณะคล้าย N.thorelii แต่มีจุดต่างหลายอย่าง
6.Nepehntes Viking
สามารถพบได้ตามหมู่เกาะระ –หมู่เกาะพระทองของจังหวัดพังงา ซึ่งจัดเป็นพืชถิ่นเดียวของเมืองไทย(endamic species) เป็นไม้เลื้อยสูงประมาณ 4 - 6 เมตร ลำต้นเป็นทรงกลมสีแดง ใบเดี่ยวรูปวงรี ถึง วงรีขอบขนาน ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบเรียบ ใบหนาคล้ายหนัง มีก้านใบ มีเส้นกลางใบสีแดง หม้อมีลักษณะกลม ฝามีลักษณะค่อนข้างกลม ปากหม้อชันคล้าย N.rafflesiana หม้อมีขนาดใหญ่ได้ถึงลูกเทนนิส ลักษณะดอกเป็นแบบช่อกระจะ (raceme) 1ก้านดอกจะมี 1 ดอกย่อย 1 ดอก ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู ออกดอกปีละ 2 ครั้ง ช่วงแรก เดือนมิถุนายน - สิงหาคม ช่วงที่สอง เดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธุ์เป็นไม้ที่ให้ลูกผสมที่สวยงาม คาดการณ์ว่าน่าจะสามารถพบได้ในหมู่เกาะของประเทศพม่าด้วย ปัจจุบันยังไม่มีชื่อวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนเคยแต่ได้เรียกกันว่า N.globosa แต่เมื่อ เดือนสิงหาคม 2550 ที่งาน Sarawak summit ที่มาเลเซีย N.globosa ได้ถูกจัดว่าเป็นสายพันธุ์ย่อยของ N.mirabilis แทน ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าคงจะมีนักอนุกรมวิธานที่มีความรู้ความสามารถมาเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อทำการจดชื่อวิทยาศาสตร์ต่อไป



บริเวณที่หม้อข้าวหม้อแกงลิงเจริญเติบโต
จะมีลักษณะชุ่มชื้น ดินร่วนซุยทำให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก สภาพดินมีธาตุอาหารต่ำมาก
และพื้นที่บริเวณนั้นรับแสงได้ดี
ปัจจัยสำคัญในการเจริญเติบโต
สถานที่ปลูก
สำหรับบ้านที่มีพื้นที่บริเวณบ้าน  น่าจะเลือกที่มีไม้ใหญ่ขึ้นให้ร่มเงา  แต่มีแสงส่องเข้าได้ตลอดวัน  เป็นพื้นดินสนามหญ้าก็จะยิ่งดีครับ  เพราะจะได้เรื่องของความชื้นเพิ่มขึ้น 
             วางหม้อข้าวหม้อแกงลิงบนพื้นหญ้า เช็คดูให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก  แต่ลมต้องไม่พัดแรงเกินไปเพราะจะทำให้แห้งขาดความชื้น  อาจจะเป็นมุมชิดกำแพงสองด้านมีเพื่อกันลมพัดความชื้นไปหมดก็ดี    ส่วนคนที่อาศัยคอนโด  หอพัก  หรืออพาร์ตเม้นท์  เลือกระเบียงที่แสงส่องได้ตลอดวันนะครับ  หม้อจะได้เติบโตดี 
            อาจเพิ่มความชื้นที่ระเบียงด้วยการปูพลาสติกกักน้ำให้จัดอิฐมอญปูพื้นเสมือนการหล่อน้ำ อิฐมอญจะช่วยดูดน้ำที่ขังในพลาสติกแล้วคายความชื้นออกมาในระหว่างวัน  จะช่วยให้หม้อได้ความชื้นขึ้น  แต่สำคัญว่าต้องได้แสงแดดตลอดวัน
แสง
โดยทั่วไปหม้อข้าวหม้อแกงลิงชอบแสงค่อนข้างแรงประมาณ 60-80%  อย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง  แต่ไม่ควรให้โดนแดดเที่ยงโดยตรง
สำหรับหม้อที่เป็น Intermediate ไม่จำเป็นต้องลดแสงลง  แต่เพิ่มความชื้นมากขึ้น
ความชื้น
             คำว่าความชื้นในที่นี้หมายถึงความชื้นในอากาศ  ไม่ใช่ความชื้นในดิน  และไม่ได้แปลว่าดินเปียก
ความชื้นและแสงมีความสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง หม้อข้าวหม้อแกงลิงได้รับแสงมากขึ้นเท่าไรความชื้นก็จะต้องเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น  ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยอยู่ราว 80 %
การวัดความชื้นสัมพัทธ์อาจทำได้โดยการใช้เครื่องมือวัดซึ่งมีขายที่ร้าน K.U GARDEN หรือ ศึกษาภัณฑ์  หรืออาจสังเกตว่าบริเวณนั้นมีมอสและตะไคร่น้ำขึ้นดี
            หม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นพืชที่ไวต่อความชื้นมากและต้องการความชื้นคงที่สม่ำเสมอตลอดทั้งปี ฤดูหนาวเป็นช่วงที่ความชื้นในอากาศต่ำสุด  ถ้าไม่ดูแลหม้อจะกรอบแห้ง   เช่นเดียวกับฤดูร้อนคือลมแล้งพัดโกรกต้นไม้แห้งตายได้ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องรักษาความชื้นไว้ให้คงที่ วิธีหนึ่งที่ทำได้คือการใช้พลาสติกคลุมบริเวณที่ปลูกทั้ง 3 ด้าน และบนหลังคาหรือใช้อิฐมอญหรือทรายหรือวัสดุดูดน้ำได้ปูที่พื้นและลดน้ำให้ชุ่มเสมอ  กับอีกวิธีหนึ่งคือปลูกใต้ไม้ใหญ่หรือวางเสมอพื้น
           ความชื้นที่สูงมากก็อาจจะเป็นอันตรายต่อหม้อข้าวหม้อแกงลิงได้ โดยมันมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียหรือโรคอื่นๆ ได้ง่าย  ในช่วงกลางวันแดดจัดควรอยู่ราว 50-70% และเพิ่มเป็น 100 %   ในตอนกลางคืน (ความชื้น 100% ก็เหมือนกับนำต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงใส่ไว้ในถุง) อย่างไรก็ตามถ้าความชื้นในเครื่องปลูกมีเพียงพอและปลูกหม้อข้าวหม้อแกงลิงแน่นพอ  ความชื้นจากเครื่องปลูกก็จะระเหยขึ้นมาทำให้มันอยู่ได้อย่างเข็งแรง
น้ำ
           เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่จะต้องให้ดินเปียกชื้นอยู่เสมอ 
  ถ้าดินแห้งแม้แต่วันเดียวระบบรากอาจจะเสียไปเลยก็ได้  และหม้อข้าวหม้อแกงลิงก็ต่างจากพืชกินแมลงชนิดอื่นๆ ตรงที่มันไม่ค่อยไวต่อความเค็มหรือเกลือแร่ในดิน  นั่นหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้น้ำบริสุทธิ์  หรือน้ำกรอง RO ในการเลี้ยงหม้อข้าวหม้อแกงลิงเหมือนเช่นที่ต้องทำกับดาร์ลิงโทเนีย หรือกาบหอยแครง    ดังนั้นเราจึงสามารถรดได้ด้วยน้ำทุกประเภท  แม้แต่น้ำกระด้าง  และสามารถใส่ปุ๋ยได้
           หม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นพืชที่ชอบน้ำมาก  ในธรรมชาติมันอยู่ในป่าพรุซึ่งมีน้ำสะอาดไหลผ่านตลอดทั้งปี  บางครั้งก็ขึ้นอยู่กลางหนองหรือลำธาร  รากของมันจุ่มอยู่ในน้ำตลอดเวลา  เราสามารถปลูกหม้อข้าวหม้อแกงลิงในลักษณะแช่ในน้ำก็ได้  หรือจะรดน้ำวันละ 1-2 ครั้งก็ได้  แต่มีหลักที่ต้องพิจารณาคือ  ถ้าเดิมหม้อข้าวหม้อแกงลิงของคุณปลูกในลักษณะแช่กระถางในน้ำแต่คุณต้องการยกขึ้นมาไว้แบบรดน้ำก็สามารถทำได้เลย  โดยในระยะแรกให้รดน้ำมากๆ  เข้าไว้  ในทางกลับกันถ้าคุณอยากจะเอาหม้อที่เลี้ยงธรรมดาไปแช่น้ำคุณต้องค่อยๆ ทำเพื่อให้รากเกิดความเคยชิน  ไม่เช่นนั้นรากจะเน่า  และน้ำต้องสะอาดไม่มีกลิ่นเน่าเหม็นโชยออกมาจากเครื่องปลูก
อุณหภูมิ
             หม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิด  L/L  ชอบอากาศร้อนชื้น  อบอ้าว  ส่วนหม้อ  H/L  ต้องการความเย็นบนยอดดอยหรือในเมืองหนาว  ในบ้านเราจึงสามารถเลี้ยงหม้อ  L/L  ได้โดยไม่มีปัญหา  ในสภาพธรรมชาติมันอยู่ในที่อุณหภูมิร้อนชื้น  ซึ่งอาจมีแสงสว่างหรือแดดจ้าเพียงไม่กี่นาทีก็มีฝนเทลงมา  หรืออาจจะกลับคืนสภาพแดดจัดอีกโดยไม่เป็นอันตรายกับหม้อข้าวหม้อแกงลิงแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าเป็นห่วง  แต่อย่างไรก็ตามคุณต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์ในเรื่องของแสงและอุณหภูมิไว้ด้วยกัน  เพราะแสงแดดจัดอุณหภูมิสูงความชื้นก็ต้องสูงตามด้วย  มิฉะนั้นหม้อจะฝ่อ
เครื่องปลูก
          ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่อยู่ในที่ธรรมชาติ กับหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่อยู่ในกระถางจะใช้เครื่องปลูกต่างกัน  ห้ามปลูกด้วยดินครับ
          เครื่องปลูกที่เหมาะกับการปลูกเลี้ยง แสะสามารถหาเลือกใช้       สำหรับหม้อข้าวหม้อแกงลิงสายพันธุ์จากต่างประเทศ  ทั้งสายพันธุ์แท้และลูกผสม  อาจเลือกใช้สแฟกนั่มมอสล้วนๆ เป็นวัสดุปลูกเพียงอย่างเดียว  หรืออาจมองหาเปลือกสนนิวซีแลนด์ล้วนๆ เป็นเครื่องปลูกก็ได้ครับ         ส่วนหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่เป็นไม้ถิ่นไทยแท้ หรือแม้แต่ลูกผสม อาจจะใช้วัสดุที่กล่าวมาข้างต้น  หรือเลือกใช้มะพร้าวสับล้วนแช่น้ำก่อนอย่างน้อย 3 คืนเป็นเครื่องปลูกก็ได้  ง่ายดีครับข้อเสียมีเพียงมะพร้าวยุ่ยง่าย ประมาณสามสีเดือนก็ควรจะเปลี่ยนเครื่องปลูกแล้ว  บางครั้ง  หลายๆ ท่านเกรงว่าเครื่องปลูกมะพร้าวเสื่อมเร็วอาจจะมีการผสมเพอร์ไลน์  หรือหินภูเขาไฟเบอร์เล็กเข้าไปบ้างก็ได้นะครับ  ช่วยให้เครื่องปลูกโปร่งขึ้น ยืดระยะเวลาได้
ปุ๋ย
         หม้อข้าวหม้อแกงลิงสามารถใส่ปุ๋ยได้  ที่ใช้กันโดยทั่วๆ  ไปคือ  ออสโมโค้ดสูตร  3 เดือน หรืออาจเป็นสูตร  6 เดือน (คือ 3 เดือนใส่ครั้งหนึ่ง หรือ 6 เดือนใส่ครั้งหนึ่ง)  ใส่ครั้งละประมาณ 5 -8 เม็ด
เขตการกระจายพันธุ์ของหม้อข้าวหม้อแกงลิงในประเทศไทย
หม้อข้าวหม้อแกงลิงสามารถพบได้ทุกภาคในประเทศไทย  มักจะเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่ดินมีความชื้น  ขาดสารอาหาร  และอยู่ในพื้นที่ที่รับแสงได้ดี  ในประเทศไทยจะมีการกระจายตัวอย่างหนาแน่นในบริเวณภาตใต้ไล่จนไปถึงมาเลเซีย 
การขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ
ในธรรมชาติหม้อข้าวหม้อแกงลิงสามารถขยายพันธุ์ได้ 2 วิธี ได้แก่
1.เมล็ด              ซึ่งเป็นการขยายพันธุ์ที่สำคัญที่สุด  ก่อให้เกิดความหลากหลายทางสายพันธุ์ทำให้หม้อข้าหม้อแกงลิงรุ่นใหม่ๆ  มีสายพันธุ์ที่แข็งแรงยิ่งขึ้นสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมด้ดี  อีกทั้งเมล็ดยังมีลักษณะที่เล็กและเบาจึงสามารถล่องลอยไปตามลมได้ไกลจากต้นแม่  ทำให้หม้อข้วหม้อแกงลิงจะขึ้นกระจัดกระจายเป็นวงกว้าง
2.การแตกหน่อ               เป็นการเพื่มจำนวนบริเวณโคนต้นแม่  โดยที่ต้นลูกจะมีลักษณะเหมือนกับต้นแม่ทุกประการ การขยายพันธุ์แบบนี้  ช่วยให้ได้กอของต้นที่แข็งแรงยิ่งขึ้นป้องกันภัยทางธรรมชาติได้ดีกว่าการเจริญเติบโตแบบต้นเดี่ยว 
3.ไหล               บางสายพันธุ์ของหม้อข้าวหม้อแกงลิงมีไหลอยู่ใต้ดิน  ช่วยให้มีตาผุดขึ้นมามากมาย  การขยายพันธุ์ลักษณะนี้คล้ายกับการแตกหน่อแทบทุกประการ  เพียงแต่ครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างกว่า