Nephenthes
วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558
ใบงานที่ 8
หม้อข้าวหม้อแกงลิง (อังกฤษ: nepenthes;
ชื่อสามัญ: tropical pitcher plants หรือ monkey cups) / มาจากภาษากรีก: ne = ไม่, penthos = โศกเศร้า, ความเสียใจ; ชื่อของภาชนะใส่เหล้าของกรีกโบราณ (กรีก: Nepenthe) ) เป็นพืชกินสัตว์ประเภทหนึ่ง
มีมากกว่า 160 ชนิด และลูกผสมอีกมากมาย
พบกระจายพันธุ์ในเขตร้อนชื้น ตั้งแต่ตอนใต้ของจีน, อินโดนีเซีย,มาเลเซียและฟิลิปปินส์; ทางตะวันตกของมาดากัสการ์ (2 ชนิด) และเซเชลส์ (1 ชนิด) ตอนใต้ของออสเตรเลีย (3 ชนิด) และนิวแคลิโดเนีย (1 ชนิด) ตอนเหนือของอินเดีย (1 ชนิด) และศรีลังกา(1 ชนิด)
พบมากที่บอร์เนียว และ สุมาตรา มักพบขึ้นตามที่ลุ่ม
แต่ในระยะหลังหม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดใหม่ๆ
มักพบตามภูเขาซึ่งมีอากาศร้อนตอนกลางวันและหนาวเย็นตอนกลางคืน
ส่วนชื่อหม้อข้าวหม้อแกงลิง มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าลิงมาดื่มน้ำฝนจากหม้อของพืชชนิดนี้
ประเภทของหม้อข้าวหม้อแกงลิง
หม้อข้าวหม้อแกงลิงสามารถแบ่งเป็น
2 ประเภทใหญ่ๆ ตามระดับความสูงขงน้ำทะเล ดังนี้
กลุ่มที่หนึ่ง กล่ม Lowland
เป็นสายพันธุ์ที่สามารถพบได้ที่ระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 0 – 1000 เมตร ซึ่งไม้ในกลุ่มนี้สามารถเลี้ยงได้ในสภาพอากาศแบบบ้านเรา
กลุ่มนี้มีประมาณ 40 กว่าสายพันธุ์ เช่น N.albomarginata,
N.ampullaria, N.gracilis, N.northiana, N.mirabilis, N.truncata เป็นต้น
ไม้กลุ่มนี้พบได้ในป่าพรุและพื้นที่สภาพดินขาดธาตุอาหาร หรือป่าเสื่อมโทรม
กลุ่มที่สอง กลุ่ม Highland
เป็นสายพันธุ์ที่สามารถพบได้ที่ระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1000 เมตรขึ้นไป ซึ่งไม้กลุ่มนี้มีความต้องการความชื้นค่อนข้างสูง และสภาพอากาศต้องค่อนข้างเย็นยากต่อการเลี้ยงในสภาพอากาศแบบบ้านเรา แต่บางชนิดอาจสามารถปรับตัวจนเติบโตได้แต่ขนาดของหม้ออาจจะไม่ใหญ่เหมือนกับการเลี้ยงในสภาพ Highland กลุ่มนี้มีมากกว่า 60 ชนิด เช่น N.aristolochioides, N.burbidgeae, N.glabrata, N.glandulifera, N.rajah, N.sibuyanensis, N.spectabilis, N.villosa เป็นต้น
เป็นสายพันธุ์ที่สามารถพบได้ที่ระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1000 เมตรขึ้นไป ซึ่งไม้กลุ่มนี้มีความต้องการความชื้นค่อนข้างสูง และสภาพอากาศต้องค่อนข้างเย็นยากต่อการเลี้ยงในสภาพอากาศแบบบ้านเรา แต่บางชนิดอาจสามารถปรับตัวจนเติบโตได้แต่ขนาดของหม้ออาจจะไม่ใหญ่เหมือนกับการเลี้ยงในสภาพ Highland กลุ่มนี้มีมากกว่า 60 ชนิด เช่น N.aristolochioides, N.burbidgeae, N.glabrata, N.glandulifera, N.rajah, N.sibuyanensis, N.spectabilis, N.villosa เป็นต้น
การวิวัฒนาการของหม้อข้าวหม้อแกงลิง
แต่เดิมพืชชนิดนี้ลักษณะเหมือนพืชใบเลี้ยงเดี่ยวทั่วไป
แต่สถานที่ที่พืชชนิดนี้อาศัยอยู่มีปริมาณแร่ธาตุที่น้อยเกินไป
พืชชนิดนี้จึงต้องปรับตัวเพื่อให้ได้มาซึ่งแร่ธาตุเพิ่มเติม โดยลำดับการวิวัฒนาการเป็นดังนี้
1.โคนใบจะขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นใบเทียม ก้านใบยืดยาวออกทำให้เกิดการแยกส่วนของใบเป็นสองช่วง
2.ปลายใบเริ่มหัวตัวมีลักษณะคล้ายหม้อ และมีการพัฒนาให้มีฝาปิดตัวหม้อ
3.การพัฒนาตัวหม้อเสร็จสมบูรณ์
ผิวภายในหม้อมีเซลล์ที่สามารถหลั่งเอนไซม์ในการย่อยแมลงได้
และสามารถดูดซึมสารอาหารได้ บริเวณปากหม้อมีเซลล์ที่หลั่งน้ำหล่อลื่นมาเคลือบ
|
|
รูปร่างและลักษณะหน้าที่
หม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นไม้เลื้อย
มีระบบรากที่ตื้นและสั้น สามารถสูงได้หลายเมตร ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตรหรืออาจหนากว่านั้นในบางชนิด เช่น N.
bicalcarata เป็นต้น
จากลำต้นไปยังก้านใบที่มีลักษณะใบคล้ายกับสกุลส้ม ยาวสุดสายดิ่งซึ่งบางสายพันธุ์ใช้เป็นมือจับยึดเกี่ยว แล้วจบลงที่หม้อที่เป็นใบแท้แปรสภาพมา
หม้อเริ่มแรกจะมีขนาดเล็กและค่อยๆ โตขึ้นอย่างช้าๆ จนเป็นกับดักทรงกลมหรือรูปหลอด
ส่วนประกอบพื้นฐานของหม้อบน
หม้อจะบรรจุไปด้วยของเหลวที่พืชสร้างขึ้น
อาจมีลักษณะเป็นน้ำหรือน้ำเชื่อม ใช้สำหรับให้เหยื่อจมน้ำตาย
จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าในหม้อข้าวหม้อแกงลิงหลายชนิด
ของเหลวจะบรรจุไปด้วยสารเหนียวที่ถูกผสมขึ้นเป็นสำคัญเพื่อใช้ย่อยแมลงในหม้อ ความสามารถของของเหลวที่ใช้ดักจะลดลง
เมื่อถูกทำให้เจือจางโดยน้ำ
ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในสภาพแวดล้อมที่เปียกชื้นที่เป็นถิ่นอาศัยของพืชสกุลนี้
ส่วนล่างของหม้อจะมีต่อมสำหรับดูดซึมสารอาหารจากเหยื่อที่จับได้
ส่วนบริเวณด้านบนจะมีผิวลื่นเป็นมันใช้เพื่อป้องกันเหยื่อหนีรอดไปได้
ทางเข้าของกับดักเป็นส่วนประกอบที่เรียกว่าเพอริสโตม จะลื่นและเต็มไปด้วยสีสันที่ดึงดูดเหยื่อเข้ามาและเสียหลักลื่นหล่นลงไปในหม้อ
ส่วนฝาหม้อใช้ป้องกันไม่ให้น้ำฝนตกลงไปผสมกับของเหลวในหม้อ และด้านข้างจะมีต่อมน้ำต้อยไว้ดึงดูดเหยื่ออีกทางหนึ่งด้วย
โดยปกติหม้อข้าวหม้อแกงลิงจะสร้างหม้อขึ้นมา
2
ชนิด คือหม้อล่าง เป็นหม้อที่อยู่แถวๆโคนต้นมีขนาดใหญ่
สีสันสวยงาม อีกชนิดคือหม้อบนที่มีขนาดเล็ก ก้านหม้อจะลีบแหลม
รูปทรงของหม้อจะเปลี่ยนไป และสีสันจืดชืดกว่า
หรือความแตกต่างอีกอย่างคือ
หม้อล่างทำหน้าที่ล่อเหยื่อและดูดซึมสารอาหารไปใช้ในการเจริญเติบโต ส่วนหม้อบน
เมื่อต้นโตขึ้น สูงขึ้น หม้อบนจะลดบทบาทการหาเหยื่อ แต่เพิ่มบทบาทการจับยึด
โดยก้านใบจะม้วนเป็นวง เกาะเกี่ยวกิ่งไม้ข้างๆ ดึงเถาหม้อข้าวหม้อแกงลิงให้สูงขึ้นและมั่นคงขึ้นไม่โค่นล้มโดยง่าย
แต่ในบางชนิดเช่น N.
rafflesiana เป็นต้น หม้อที่ต่างชนิดกัน
ก็จะดึงดูดเหยื่อที่ต่างชนิดกันด้วย
เหยื่อของหม้อข้าวหม้อแกงลิงโดยปกติแล้วจะเป็นแมลง แต่บางชนิดที่มีหม้อขนาดใหญ่ (N. rajah, N.
rafflesiana เป็นต้น) บางครั้งเหยื่ออาจจะเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก เช่น หนู และสัตว์เลื้อยคลาน[2][3] ดอกของหม้อข้าวหม้อแกงลิงนั้น
ช่อดอกเป็นแบบช่อกระจะหรือช่อแยกแขนง จะแยกเพศกันอย่างชัดเจน แบบหนึ่งต้นหนึ่งเพศ ฝักเป็นแบบแคปซูล 4 กลีบและแตกเมื่อแก่ ภายในประกอบไปด้วยเมล็ด 10 ถึง 60 เมล็ดหรือมากกว่านั้น เมล็ดแพร่กระจายโดยลม
รูปแบบของกับดัก
พืชในสกุลหม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นพืชกินสัตว์ที่มีกับดักแบบหลุมพราง
(Pitfall traps, pitcher) เหมือนกับพืชในสกุล Sarracenia, Darlingtonia, Heliamphora และ Cephalotus และการวิวัฒนาการของกับดักสันนิษฐานว่าการจากการคัดเลือกภายใต้แรงกดดันในระยะเวลายาวนาน
เช่น มีสารอาหารในดินน้อย เป็นต้น ทำให้เกิดการสร้างใบรูปหม้อขึ้น
และอาจเกิดจากแมลงซึ่งเป็นเหยื่อของมันหาอาหารมีพฤติกรรม, บิน, คลาน และไต่
ทำให้เกิดการพัฒนาจากโพรงช่องว่างที่เกิดจากใบประกบกันกลายหม้อซึ่งเป็นกับดักแบบหลุมพราง
หม้อข้าวหม้อแกงลิงนั้นถูกจัดให้มีบรรพบุรุษร่วมกับพืชที่มีกับดักแบบกระดาษเหนียว
ซึ่งแสดงว่าหม้อข้าวหม้อแกงลิงบางชนิดอาจมีการพัฒนามาจากกับดักแบบกระดาษเหนียวที่สูญเสียเมือกเหนียวไป
กับดักเกิดขึ้นที่ปลายสายดิ่งหรือมือจับซึ่งพัฒนามาจากการยืดออกของเส้นกลางใบ
โดยมากเป็นรูปทรงกลมหรือรูปหลอด เป็นกระเปาะ
มีของเหลวอยู่ภายในมีลักษณะเป็นน้ำหรือน้ำเชื่อม
ปากหม้อที่เป็นทางเข้าของกับดักอยู่ด้านบนของหม้อ เป็นส่วนประกอบที่เรียกว่าเพอริสโตม ซึ่งมีลักษณะลื่น
ฉาบไปด้วยขี้ผึ้งและเต็มไปด้วยสีสันที่ดึงดูดเหยื่อเข้ามาและเสียหลักลื่นหล่นลงไปในหม้อ
ส่วนล่างของหม้อจะมีต่อมสำหรับดูดซึมสารอาหารจากเหยื่อที่จับได้
ส่วนบริเวณด้านบนจะมีผิวลื่นเป็นมันใช้เพื่อป้องกันเหยื่อหนีรอดไปได้
มีฝาปิดอยู่ที่ด้านบนของกับดักป้องกันไม่ให้น้ำฝนตกลงไปในหม้อ
ใต้ฝามีต่อมน้ำต้อยไว้เพื่อดึงดูดเหยื่ออีกทางหนึ่ง
ประวัติทางพันธุ์ศาสตร์
ก่อนที่ชื่อ นีเพนเธส จะถูกบันทึก
ย้อนกลับไปในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในปี ค.ศ. 1658 ข้าหลวงชาวฝรั่งเศสที่ชื่อเบเตียน เดอ ฟรากูร์ (ฝรั่งเศส: Étienne de Flacourt) ได้พรรณนาเกี่ยวกับลักษณะของพืชชนิดนี้ในงานสัมมนา
Histoire de la Grande Isle de Madagascar (ประวัติของเกาะมาดากัสการ์) ดังนี้
![]() |
พืชชนิดนี้สูง
3 ฟุต ใบยาว 7 นิ้ว
มีดอกและผลคล้ายแจกันขนาดเล็กที่มีฝาปิดเป็นภาพที่น่าประหลาดใจมาก
มีสีแดงหนึ่งสีเหลืองหนึ่ง สีเหลืองมีขนาดใหญ่ที่สุด
คนพื้นเมืองในประเทศนี้คัดค้านที่จะเด็ดดอกของมัน เพราะมีความเชื่อที่ว่าถ้าใครเด็ดมันแล้ว
ฝนจะตกในวันนั้น ในเรื่องนั้น ฉันและชาวฝรั่งเศสคนอื่นๆ เก็บมันมา แต่ฝนก็ไม่ตก
หลังฝนตกดอกของมันเต็มไปด้วยน้ำที่เกาะอยู่จนดูคล้ายลูกแก้วที่แวววาว
[แปลจากภาษาฝรั่งเศสในหม้อข้าวหม้อแกงลิงจากบอร์เนียว
|
![]() |
ฟรากูรได้ตั้งชื่อพืชชนิดนี้ว่า Anramitaco สันนิษฐานว่าเป็นชื่อท้องถิ่น แล้วก็ล่วงเลยมามากกว่าศตวรรษ หม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดนี้จึงได้ถูกจัดจำแนกเป็น N. madagascariensis
หม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดที่
2 ที่ถูกพรรณนาถึงในปี ค.ศ. 1677 ได้แก่ N.
distillatoria พืชถิ่นเดียวของศรีลังกา
ถูกจัดจำแนกให้อยู่ภายใต้ชื่อ "Miranda herba" (สมุนไพรอันน่าพิศวง) 3 ปีต่อมา พ่อค้าชาวดัตช์ที่ชื่อเจคอบ
เบรนี (Jacob Breyne) อ้างว่าพืชชนิดนี้เป็น Bandura
zingalensium ซึ่งเป็นชื่อเรียกในท้องถิ่นในภายหลัง Bandura ได้กลายเป็นชื่อที่ใช้เรียกหม้อข้าวหม้อแกงลิงทั่วไปจนกระทั่งลินเนียสได้ตั้งชื่อ นีเพนเธส ขึ้นในปี ค.ศ. 1737
N. distillatoria ถูกจัดจำแนกอีกครั้งในปี ค.ศ. 1683 ครั้งนี้โดยแพทย์ชาวสวีเดนชื่อ เอช.เอ็น.
กริม (H.N. Grimm) กริมได้เรียกมันว่า Planta
mirabilis distillatoria หรือ
"พืชกลั่นน้ำอันน่าอัศจรรย์"
และเป็นครั้งแรกที่มีภาพประกอบอย่างละเอียดของพืชชนิดนี้ 3 ปีต่อมา ในปี ค.ศ.
1686 นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษชื่อ จอน
เรย์ (อังกฤษ: John Ray) อ้างคำพูดของกริมมากล่าวดังนี้
![]() |
รากดูดความชุ่มชื้นจากดินด้วยความช่วยเหลือของแสงอาทิตย์เข้าสู่ตัวมัน
แล้วส่งผ่านไปยัง ลำต้น ก้าน ใบที่น่ากลัวของมัน ไปสู่ภาชนะตามธรรมชาติ
แล้วเก็บกักไว้จนกว่ามนุษย์จะต้องการมัน [แปลจากภาษาละตินใน หม้อข้าวหม้อแกงลิงจากบอร์เนียว]
|
![]() |
หนึ่งในภาพประกอบแรกๆของหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่ปรากฏใน Almagestum Botanicum (สารานุกรมพฤกษศาสตร์ ) ของเลียวนาร์ด พลูคีเน็ต (Leonard Plukenet) ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1696 พืชที่เรียกว่า Utricaria vegetabilis zeylanensiumก็คือ N. distillatoria นั่นเอง
ภาพประกอบของ Cantharifera ในHerbarium Amboinensis (พรรณไม้จากอองบง) ของรัมฟิออซ, เล่ม 5 ปี ค.ศ. 1747 ถึงแม้ว่าจะถูกวาดหลังศตวรรษที่ 17 แต่ไม้เถาทางขวาไม่ใช่หม้อข้าวหม้อแกงลิง
แต่เป็น Flagellaria
ในเวลาเดียวกันเกออร์จ เบเบอร์ฮาร์ด รัมฟิออซ (เยอรมัน: Georg Eberhard Rumphius) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ค้นพบหม้อข้าวหม้อแกงลิง 2 ชนิดใหม่ในหมู่เกาะมลายู รัมฟิออซได้วาดภาพชนิดแรกไว้ เมื่อได้นำมาพิจารณาดูแล้วมันก็คือ N. mirabilis นั่นเอง และได้ให้ชื่อว่า Cantharifera แปลว่า "คนถือเหยือก" ชนิดที่ 2 ที่ชื่อ Cantharifera
alba คิดว่าน่าจะเป็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิด N. maxima รัมฟิออซได้พรรณนาไว้ในงานเขียนที่มีชื่อเสียงมากของเขา : Herbarium
Amboinensis (พรรณไม้จากอองบง) บัญชีรายชื่อรุกขชาติแห่งเกาะอองบง ทั้ง 6 เล่ม
อย่างไรก็ตามพืชชนิดนี้กลับไม่เป็นที่รู้จักจนกระทั่งเขาถึงแก่กรรมไปแล้วหลายปี
หลังจากตาบอดลงในปี
ค.ศ. 1670 เมื่อต้นฉบับเขียนด้วยมือสำเร็จเสร็จสิ้นเป็นบางส่วน
รัมฟิออซก็ได้เขียน Herbarium Amboinensis ต่อด้วยความช่วยเหลือของเสมียนและจิตรกร
ในปี ค.ศ. 1687 เมื่องานใกล้สำเร็จลุล่วง
งานอย่างน้อยครึ่งหนึ่งกับเสียหายไปเพราะไฟไหม้ แต่ด้วยความอุตสาหะ
รัมฟิออซและผู้ช่วยของเขาก็ทำหนังสือเล่มแรกแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1690 อย่างไรก็ตาม 2 ปีต่อมา เรือที่บรรทุกต้นฉบับไปสู่ประเทศเนเธอร์แลนด์กลับถูกโจมตีและจมลงโดยเรือรบของฝรั่งเศส เป็นการบังคับให้พวกเขาเริ่มใหม่อีกครั้ง
แต่โชคยังดีที่ยังมีฉบับคัดลอกที่ถูกเก็บรักษาไว้โดย ข้าหลวง-นายพล โจฮันซ์
แคมฟุจซ์ (Johannes Camphuijs) ในที่สุดหนังสือ Herbarium
Amboinensis ก็ไปถึงเนเธอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1696 แต่หนังสือเล่มแรกก็ยังไม่ถูกตีพิมพ์จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1741 เป็นเวลา 39 ปีหลังจากรัมฟิออซถึงแก่กรรม
ในครั้งนี้ชื่อ นีเพนเธส ของลินเนียสได้กลายเป็นมาตรฐานที่มั่นคงแล้ว
ภาพวาดของ Bandura
zeylanica (N. distillatoria) จาก Thesaurus
Zeylanicus (อรรถาภิธานจากศรีลังกา) ของเบอร์แมน
ในปี ค.ศ. 1737
N.
distillatoria ถูกวาดภาพและอธิบายอีกครั้งใน Thesaurus
Zeylanicus (อรรถาภิธานจากศรีลังกา) ของโจฮันซ์
เบอร์แมน (Johannes Burmann) ในปี ค.ศ. 1737
ภาพวาดแสดงให้เห็นตั้งแต่ดอก ลำต้น และหม้อ
เบอร์แมนเรียกพืชชนิดนี้ว่า Bandura zeylanica
การอ้างถึงหม้อข้าวหม้อแกงลิงครั้งต่อมาเกิดขึ้นในปี
ค.ศ. 1790 เมื่อพระชาวโปรตุเกสที่ชื่อโจเอา เดอ
เลอรีโร (João de Loureiro) พรรณนาถึงPhyllamphora
mirabilis หรือ "ใบรูปหม้ออันน่าพิศวง" จากเวียดนาม แม้เขาจะอยู่ในประเทศนี้มาถึง 35 ปี
มันดูไม่เหมือนว่า เลอรีโรจะเฝ้าศึกษาพืชชนิดนี้อย่างจริงจังนัก
เขาอ้างว่าฝาของหม้อเคลื่อนไหวได้ในรูปแบบเปิดและปิดฝาหม้อ
ในงานที่มีชื่อเสียงของเขา : Flora Cochinchinensis (พืชจากเวียดนามใต้ ) เขาเขียนไว้ว่า
![]() |
[...] สายดิ่งที่ยื่นยาวต่อจากปลายสุดของใบที่บิดขดเป็นวงอยู่ตรงกลาง
ทำหน้ายึดหม้อนิ่มๆรูปไข่นั่นไว้ มันมีปากที่เรียบเป็นโครงยื่นตรงขอบและที่ด้านตรงข้ามเป็นฝาปิด
ซึ่งเปิดอยู่โดยธรรมชาติ และจะปิดเมื่อต้องเก็บกักน้ำค้างไว้
เป็นผลงานของพระผู้เป็นเจ้าที่น่าพิศวงมาก! [แปลจากภาษาฝรั่งเศสในหม้อข้าวหม้อแกงลิงจากบอร์เนียว]
|
![]() |
ในที่สุด Phyllamphora mirabilis ก็ถูกเปลี่ยนเข้าสู่สกุลของหม้อข้าวหม้อแกงลิงโดยเกออร์จ คลาริดก์ ดรูซ (George Claridge Druce) ในปี ค.ศ. 1916 ดังนั้น P. mirabilis จึงเป็น ชื่อเดิม (basionym) ของหม้อข้าวหม้อแกงลิงทั่วโลกหลายชนิด
การเคลื่อนไหวของฝาหม้อที่ถูกกล่าวอ้างโดยเลอรีโรได้ถูกกล่าวซ้ำอีกครั้งโดยจีน ลุยซ์ มารี ปัวร์เรต (Jean
Louis Marie Poiret) ในปี ค.ศ. 1797 ปัวร์เรตได้กล่าวถึง
2 ใน 4 ชนิดที่เป็นที่รู้จักในขณะนั้น : N.
madagascariensis และ N. distillatoria เขาสร้างรูปแบบชื่อปัจจุบันและชื่อเรียกตามหลัง : Nepente
de l'Inde หรือ "หม้อข้าวหม้อแกงลิงของประเทศอินเดีย"
ถึงแม้ว่าหม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดนี้จะอยู่ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ก็ตาม
ใน Encyclopédie
Méthodique Botanique (สารานุกรมพฤกษศาสตร์) ของจีน-บาปตีสต์ เดอ ลามาร์ก (ฝรั่งเศส: Jean-Baptiste de Lamarck) เขารวบรวมไว้ดังนี้
![]() |
มันเป็นหม้อที่น่าพิศวง
ตามดังที่ฉันจะกล่าวต่อไปนี้ โดยปกติเมื่อหม้อเต็มไปด้วยน้ำสะอาดฝาหม้อก็จะปิดลง
มันจะเปิดขึ้นในระหว่างตอนกลางวัน และน้ำส่วนมากจะหายไป
แต่น้ำที่หายไปนี้ใช้ไปในการบำรุงต้นระหว่างกลางคืนก็เป็นได้
และเมื่อวันใหม่เมื่อหม้อเต็มอีกครั้ง ฝาก็จะปิดลงเช่นเดิม นี่เป็นอาหารของมัน
และมากเพียงพอใน 1 วันเพราะน้ำนั้นจะเหลือครึ่งเดียวในตอนกลางคืน
[แปลจากภาษาฝรั่งเศสในหม้อข้าวหม้อแกงลิงจากบอร์เนียว]
|
![]() |
โรงเรือนปลูกหม้อข้าวหม้อแกงลิงของสถานเพาะเลี้ยงวิตช์ ภาพใน The Gardener s' Chronicle (บันทึกของชาวสวน
) ปี ค.ศ. 1872
เมื่อมีการค้นพบชิดใหม่ๆ
ความสนใจในการปลูกเลี้ยงหม้อข้าวหม้อแกงลิงจึงเกิดขึ้นตลอดคริสต์ศตวรรษที่
19 จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของหม้อข้าวหม้อแกงลิงก็ว่าได้
โดยเริ่มนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1880 อย่างไรก็ตามความนิยมนี้กลับลดลงในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่
20 ก่อนจะหายไปเพราะสงครามโลกครั้งที่สอง นี่เป็นเครื่องแสดงข้อเท็จจริงที่ว่าไม่มีการค้นพบชนิดใหม่เลยในระหว่างปี
ค.ศ. 1940 ถึง 1966 แต่ความสนใจในการปลูกเลี้ยงและการศึกษาในหม้อข้าวหม้อแกงลิงได้กลับมาอีกครั้ง
ทั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้แก่นักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่นที่ชื่อไซเกะโอะ
คุระตะ (Shigeo Kurata) ผลงานของเขาในปี ค.ศ. 1960
และ 1970 ได้นำเข้าสู่ความนิยมในพืชชนิดนี้อีกครั้ง
ศัพทมูลวิทยา
คำว่า Nepenthes
(นีเพนเธส) ถูกใช้เป็นครั้งแรกในปี
ค.ศ. 1737 ใน Hortus Cliffortianus (แคตาล็อกแสดงพรรณพืชของคลิฟฟอร์ด)ของคาโรลัส
ลินเนียส มาจากมหากาพย์โอดิสซีของโฮเมอร์ ในข้อความที่ว่า "Nepenthes pharmakon" (เหยือกยาที่ใช้เพื่อลืมความเศร้าซึ่งหมายถึงเหล้านั่นเอง)
ถูกมอบให้เฮเลนโดยราชินีแห่งอียิปต์ คำว่า "Nepenthe" แปลตรงตัวได้ว่า
"ปราศจากความเศร้าโศก" (ne = ไม่, penthos =
เศร้าโศก) และในตำนานเทพเจ้ากรีกนั้น
เป็นการดื่มเพื่อให้ลืมความเสียใจ ลินเนียสอธิบายไว้ว่า :
![]() |
ถ้ามันไม่ใช่เหยือกเหล้าของเฮเลนแล้วมันคงจะเป็นของนักพฤกษศาสตร์ทุกคนอย่างแน่นอน
สิ่งใดที่นักพฤกษศาสตร์รู้สึกว่าธรรมดาไม่น่าชื่นชม ถ้าหลังจากการเดินทางอันยาวนานและแสนลำบาก
แล้วเขาสามารถพบพืชที่แสนวิเศษนี้
ในความรู้สึกของเขาที่ผ่านสิ่งแย่ๆและลำบากมานั้นก็ต้องถูกลืมเลือนไปหมดสิ้น
เมื่อเห็นผลงานของพระผู้เป็นเจ้าที่น่าชมเชยนี้! [แปลจากภาษาละตินโดย
เอช. เจ. วีตช์]
|
![]() |
หม้อข้าวหม้อแกงลิง ถูกตั้งให้เป็นชื่อสกุลในปี ค.ศ. 1753 ใน "Species
Plantarum (ชนิดพันธุ์พืช) " ซึ่งเป็นการตั้งชื่อที่ถูกยอมรับและใช้จนมาถึงปัจจุบัน
และ N. distillatoria ก็เป็นชนิดต้นแบบในสกุลนี้
สายพันธุ์หม้อข้าวหม้อแกงลิงที่พบในประเทศไทย
จากการสำรวจแหล่งที่อยู่อาศัยที่พบหม้อข้าวหม้อแกงลิงในประเทศไทย พบสายพันธุ์ดั้งเดิมทั้งสิ้น 6 สายพันธุ์
โดยมีความเป็นไปได้ว่ายังมีสายพันธุ์ที่ขาดการสำรวจอยู่อีกที่รอการค้นพบในอนาคต
1.Nephenthes Ampullaria
พบในประเทศไทยที่ปัตตานี สตูล สงชลาและพื้นที่ในแนวติดกับมาเลเซีย ลักษณะเด่นเป็นไม้เลื้อย สูงได้ถึง 12 เมตร ลักษณะหม้อเป็นทรงกลมมีฝาปิดขนาดเล็กจนถึงเล็กมาก สีที่พบในประเทศไทยมีสีเขียว และสีลายจุด ที่บริเวณลำต้นและใบจะมีขนนุ่มสีน้ำตาลจำนวนมากโดยเฉพาะใบอ่อน และท้องใบ ใบเดี่ยวรู)หอกหรือวงรีแกมขนาน ใบเรียงตัวเป็นเกลียว ขอบใบเรียบ ออกดอกในช่วง ตุลาคม – มกราคมของทุกปี ต้นที่มีขนาดใหญ่จีหม้อผุตออกมาที่บริเวณไหลและโคนต้น หม้อผุดมักจะไม่มีแผ่นใบให้เห็นชัดเจน ในธรรมชาติหม้อสามารถใหญ่ได้ถึง 5 นิ้ว หม้อบนหาดูได้ยากมาก เมื่อต้นสูง 1-2 เมตรก็จะเริ่มออกดอก(แล้วแต่ความสมบูรณ์ของต้น) ลักษณะดอกเป็นแบบช่อกระจะ 1 ก้านดอกจะมี 3 ดอกย่อยปลายเกสรตัวผู้เมื่อเร่มบานออกจะมีสีแดง เกสรตัวผู้บานเต็มที่ในช่วงเย็นจนถึงเช้าตรู่ ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแตกจะแตกเป็นพู 4 พูมีการผสมข้ามสายพันธุ์กับ N.gracilis และ N.mirabilis
2.Nephenthes Milabiris
สามารถพบได้แทบทุกภาคของประเทศไทยมีการกระจายตัวตั้งแต่จีนตอนใต้ จนถึง ออสเตเรีย เป็นไม้เลื้อยสูงได้ถึง 10 เมตร มีก้านใบ ใบเดี่ยวรูปหอกหรือวงรีแกมขนาน ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบแบบจักรฟันเลื่อย (serrate) ที่เส้นใบจะมีท้องลำเลียงน้ำที่ขนานกันเป็นเเนวเห็นได้ชัดเจน ใบมีลักษณะคล้ายกระดาษ หม้อมีลักษณะยาว ฝาเป็นรูปวงรี ขนาดหม้อประมาณ 3 - 6 นิ้วหรือมากกว่านั้น มีตั้งแต่สีเขียวล้วน เขียวปากแดง แดงล้วน ชมพู และ เขียวปนแดง ลักษณะดอกเป็นแบบช่อกระจะ (raceme) 1ก้านดอกจะมี 1 ดอกย่อย 1 ดอก ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู ออกดอกปีละ 2 ครั้ง ช่วงแรก เดือนมิถุนายน - สิงหาคม ช่วงที่สอง เดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธุ์ สามารถพบลูกผสมในธรรมาชาติได้ เช่น N.mirabilis and N.thorelii , N.mirabilis and N.gracilis, N.mirabilis and N.ampullaria เป็นต้น
3.Nephenthes Thoreli
สามารถพบได้ทางภาคใต้(ฝั่งอ่าวไทยเท่านั้น) ภาคตะวันออก รวมไปถึง ทางตอนใต้ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นไม้พุ่มเลื้อย สามารถสูงได้ถึง 5 เมตร ใบเดี่ยวรูปหอก ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบเรียบ ใบหนาคล้ายหนัง ไม่มีก้านใบ แผ่นใบจะโอบรอบครึ่งลำต้น หม้อมีลักษณะยาวป่องบริเวณก้นหม้อ หม้อมีสีแดงถึงสีส้ม มีลายคล้ายเสือ จึงเป็นที่รู้จักกันดีในนาม "Tiger" ในวงการไม้กินแมลง ปากหม้อมีลักษณะบาง ปากหม้ออาจจะมีลายหรือไม่มีก็ได้ ช่อดอกขนาดเล็กทั้งตัวผู้และตัวเมีย ก้านดอกจะมี 1 ดอกย่อย 1 ดอก ออกดอกตลอดทั้งปี ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู
4.Nephenthes Gracilis
สามารถพบได้บริเวณ นราธิวาส สตูล สงขลา และยะลา เป็นไม้เลื้อยสูงประมาณ 2 - 4 เมตร ลำต้นเป็นทรงกลม ขนาดเล็ก ใบเดี่ยวรูปหอก ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบเรียบ ใบหนาคล้ายหนัง ไม่มีก้านใบ หม้อมีขนาดเล็กลักษณะยาวคอดตรงกลาง ก้นป่องสามารถ พบหม้อผุดเหมือน N.ampullaria หม้อมีขนาดประมาณ 1-3 นิ้ว มีสีเขียว สีแดง สีดำ ปากหม้อมีลักษณะบาง ปีกมีลักษณะเป็นฝอยขนาดเล็กๆ ฝามีลักษณะกลม มักพบบริเวณที่ดินเป็นดินลูกรัง หรือป่าเสื่อมโทรม ออกดอกช่วงเดือน สิงหาคม - ตุลาคม ช่อดอกมีขนาดเล็ก 1 ก้านดอกมี 1 ดอกย่อย ลักษณะดอกเป็นแบบช่อกระจะ (raceme) ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู
5.Nephenthes Smilesis
สามารถพบได้ที่บริเวณยอดภูต่างๆ ในภาคอีสาน เช่น ภูกระดึง ภูหลวง ภูเรือ เป็นต้น ลำต้นและใบมีขนสั้นนุ่ม ทั้งหน้าและท้องใบ ใบเดี่ยวรูปหอก ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบเรียบมีขนเล็กน้อย ใบนิ่มอ่อน ไม่มีก้านใบ ใบมักจะลู่ลงปลายใบกระดกเล็กน้อย หม้อมีขนาดประมาณ 10 เซนติเมตร หม้อมีสีส้ม ฝาหม้อมีลักษณะเป็นรูปวงรี ช่อดอกตัวผู้กับดอกตัวเมียมีขนนุ่ม ดอกมีขนาดยาวประมาณ 50 - 100 เซนติเมตร กลีบดอกตัวเมียเมื่อแก่จะไม่บานออก ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู ลักษณะคล้าย N.thorelii แต่มีจุดต่างหลายอย่าง
6.Nepehntes Viking
สามารถพบได้ตามหมู่เกาะระ –หมู่เกาะพระทองของจังหวัดพังงา ซึ่งจัดเป็นพืชถิ่นเดียวของเมืองไทย(endamic species) เป็นไม้เลื้อยสูงประมาณ 4 - 6 เมตร ลำต้นเป็นทรงกลมสีแดง ใบเดี่ยวรูปวงรี ถึง วงรีขอบขนาน ใบเรียงตัวเป็นเกลียว(spiral) ขอบใบเรียบ ใบหนาคล้ายหนัง มีก้านใบ มีเส้นกลางใบสีแดง หม้อมีลักษณะกลม ฝามีลักษณะค่อนข้างกลม ปากหม้อชันคล้าย N.rafflesiana หม้อมีขนาดใหญ่ได้ถึงลูกเทนนิส ลักษณะดอกเป็นแบบช่อกระจะ (raceme) 1ก้านดอกจะมี 1 ดอกย่อย 1 ดอก ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกเป็นพู 4 พู ออกดอกปีละ 2 ครั้ง ช่วงแรก เดือนมิถุนายน - สิงหาคม ช่วงที่สอง เดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธุ์เป็นไม้ที่ให้ลูกผสมที่สวยงาม คาดการณ์ว่าน่าจะสามารถพบได้ในหมู่เกาะของประเทศพม่าด้วย ปัจจุบันยังไม่มีชื่อวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนเคยแต่ได้เรียกกันว่า N.globosa แต่เมื่อ เดือนสิงหาคม 2550 ที่งาน Sarawak summit ที่มาเลเซีย N.globosa ได้ถูกจัดว่าเป็นสายพันธุ์ย่อยของ N.mirabilis แทน ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าคงจะมีนักอนุกรมวิธานที่มีความรู้ความสามารถมาเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อทำการจดชื่อวิทยาศาสตร์ต่อไป
บริเวณที่หม้อข้าวหม้อแกงลิงเจริญเติบโต
จะมีลักษณะชุ่มชื้น
ดินร่วนซุยทำให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก สภาพดินมีธาตุอาหารต่ำมาก
และพื้นที่บริเวณนั้นรับแสงได้ดี
และพื้นที่บริเวณนั้นรับแสงได้ดี
ปัจจัยสำคัญในการเจริญเติบโต
สถานที่ปลูก
|
สำหรับบ้านที่มีพื้นที่บริเวณบ้าน
น่าจะเลือกที่มีไม้ใหญ่ขึ้นให้ร่มเงา แต่มีแสงส่องเข้าได้ตลอดวัน
เป็นพื้นดินสนามหญ้าก็จะยิ่งดีครับ เพราะจะได้เรื่องของความชื้นเพิ่มขึ้น วางหม้อข้าวหม้อแกงลิงบนพื้นหญ้า เช็คดูให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
แต่ลมต้องไม่พัดแรงเกินไปเพราะจะทำให้แห้งขาดความชื้น
อาจจะเป็นมุมชิดกำแพงสองด้านมีเพื่อกันลมพัดความชื้นไปหมดก็ดี
ส่วนคนที่อาศัยคอนโด หอพัก
หรืออพาร์ตเม้นท์ เลือกระเบียงที่แสงส่องได้ตลอดวันนะครับ
หม้อจะได้เติบโตดี อาจเพิ่มความชื้นที่ระเบียงด้วยการปูพลาสติกกักน้ำให้จัดอิฐมอญปูพื้นเสมือนการหล่อน้ำ
อิฐมอญจะช่วยดูดน้ำที่ขังในพลาสติกแล้วคายความชื้นออกมาในระหว่างวัน
จะช่วยให้หม้อได้ความชื้นขึ้น แต่สำคัญว่าต้องได้แสงแดดตลอดวัน
|
แสง
|
โดยทั่วไปหม้อข้าวหม้อแกงลิงชอบแสงค่อนข้างแรงประมาณ
60-80% อย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง แต่ไม่ควรให้โดนแดดเที่ยงโดยตรง
สำหรับหม้อที่เป็น Intermediate ไม่จำเป็นต้องลดแสงลง แต่เพิ่มความชื้นมากขึ้น |
ความชื้น
|
คำว่าความชื้นในที่นี้หมายถึงความชื้นในอากาศ ไม่ใช่ความชื้นในดิน และไม่ได้แปลว่าดินเปียก
ความชื้นและแสงมีความสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง หม้อข้าวหม้อแกงลิงได้รับแสงมากขึ้นเท่าไรความชื้นก็จะต้องเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยอยู่ราว 80 % การวัดความชื้นสัมพัทธ์อาจทำได้โดยการใช้เครื่องมือวัดซึ่งมีขายที่ร้าน K.U GARDEN หรือ ศึกษาภัณฑ์ หรืออาจสังเกตว่าบริเวณนั้นมีมอสและตะไคร่น้ำขึ้นดี
หม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นพืชที่ไวต่อความชื้นมากและต้องการความชื้นคงที่สม่ำเสมอตลอดทั้งปี
ฤดูหนาวเป็นช่วงที่ความชื้นในอากาศต่ำสุด ถ้าไม่ดูแลหม้อจะกรอบแห้ง
เช่นเดียวกับฤดูร้อนคือลมแล้งพัดโกรกต้นไม้แห้งตายได้
จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องรักษาความชื้นไว้ให้คงที่
วิธีหนึ่งที่ทำได้คือการใช้พลาสติกคลุมบริเวณที่ปลูกทั้ง 3 ด้าน และบนหลังคาหรือใช้อิฐมอญหรือทรายหรือวัสดุดูดน้ำได้ปูที่พื้นและลดน้ำให้ชุ่มเสมอ
กับอีกวิธีหนึ่งคือปลูกใต้ไม้ใหญ่หรือวางเสมอพื้น
ความชื้นที่สูงมากก็อาจจะเป็นอันตรายต่อหม้อข้าวหม้อแกงลิงได้ โดยมันมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียหรือโรคอื่นๆ ได้ง่าย ในช่วงกลางวันแดดจัดควรอยู่ราว 50-70% และเพิ่มเป็น 100 % ในตอนกลางคืน (ความชื้น 100% ก็เหมือนกับนำต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงใส่ไว้ในถุง) อย่างไรก็ตามถ้าความชื้นในเครื่องปลูกมีเพียงพอและปลูกหม้อข้าวหม้อแกงลิงแน่นพอ ความชื้นจากเครื่องปลูกก็จะระเหยขึ้นมาทำให้มันอยู่ได้อย่างเข็งแรง |
น้ำ
|
เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่จะต้องให้ดินเปียกชื้นอยู่เสมอ
ถ้าดินแห้งแม้แต่วันเดียวระบบรากอาจจะเสียไปเลยก็ได้
และหม้อข้าวหม้อแกงลิงก็ต่างจากพืชกินแมลงชนิดอื่นๆ
ตรงที่มันไม่ค่อยไวต่อความเค็มหรือเกลือแร่ในดิน นั่นหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้น้ำบริสุทธิ์
หรือน้ำกรอง RO ในการเลี้ยงหม้อข้าวหม้อแกงลิงเหมือนเช่นที่ต้องทำกับดาร์ลิงโทเนีย
หรือกาบหอยแครง ดังนั้นเราจึงสามารถรดได้ด้วยน้ำทุกประเภท
แม้แต่น้ำกระด้าง และสามารถใส่ปุ๋ยได้
หม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นพืชที่ชอบน้ำมาก ในธรรมชาติมันอยู่ในป่าพรุซึ่งมีน้ำสะอาดไหลผ่านตลอดทั้งปี บางครั้งก็ขึ้นอยู่กลางหนองหรือลำธาร รากของมันจุ่มอยู่ในน้ำตลอดเวลา เราสามารถปลูกหม้อข้าวหม้อแกงลิงในลักษณะแช่ในน้ำก็ได้ หรือจะรดน้ำวันละ 1-2 ครั้งก็ได้ แต่มีหลักที่ต้องพิจารณาคือ ถ้าเดิมหม้อข้าวหม้อแกงลิงของคุณปลูกในลักษณะแช่กระถางในน้ำแต่คุณต้องการยกขึ้นมาไว้แบบรดน้ำก็สามารถทำได้เลย โดยในระยะแรกให้รดน้ำมากๆ เข้าไว้ ในทางกลับกันถ้าคุณอยากจะเอาหม้อที่เลี้ยงธรรมดาไปแช่น้ำคุณต้องค่อยๆ ทำเพื่อให้รากเกิดความเคยชิน ไม่เช่นนั้นรากจะเน่า และน้ำต้องสะอาดไม่มีกลิ่นเน่าเหม็นโชยออกมาจากเครื่องปลูก |
อุณหภูมิ
|
หม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิด L/L ชอบอากาศร้อนชื้น
อบอ้าว ส่วนหม้อ
H/L ต้องการความเย็นบนยอดดอยหรือในเมืองหนาว ในบ้านเราจึงสามารถเลี้ยงหม้อ L/L ได้โดยไม่มีปัญหา
ในสภาพธรรมชาติมันอยู่ในที่อุณหภูมิร้อนชื้น ซึ่งอาจมีแสงสว่างหรือแดดจ้าเพียงไม่กี่นาทีก็มีฝนเทลงมา หรืออาจจะกลับคืนสภาพแดดจัดอีกโดยไม่เป็นอันตรายกับหม้อข้าวหม้อแกงลิงแม้แต่น้อย
เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าเป็นห่วง แต่อย่างไรก็ตามคุณต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์ในเรื่องของแสงและอุณหภูมิไว้ด้วยกัน
เพราะแสงแดดจัดอุณหภูมิสูงความชื้นก็ต้องสูงตามด้วย มิฉะนั้นหม้อจะฝ่อ
|
เครื่องปลูก
|
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่อยู่ในที่ธรรมชาติ
กับหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่อยู่ในกระถางจะใช้เครื่องปลูกต่างกัน ห้ามปลูกด้วยดินครับ เครื่องปลูกที่เหมาะกับการปลูกเลี้ยง
แสะสามารถหาเลือกใช้ สำหรับหม้อข้าวหม้อแกงลิงสายพันธุ์จากต่างประเทศ ทั้งสายพันธุ์แท้และลูกผสม อาจเลือกใช้สแฟกนั่มมอสล้วนๆ
เป็นวัสดุปลูกเพียงอย่างเดียว หรืออาจมองหาเปลือกสนนิวซีแลนด์ล้วนๆ
เป็นเครื่องปลูกก็ได้ครับ ส่วนหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่เป็นไม้ถิ่นไทยแท้
หรือแม้แต่ลูกผสม อาจจะใช้วัสดุที่กล่าวมาข้างต้น หรือเลือกใช้มะพร้าวสับล้วนแช่น้ำก่อนอย่างน้อย
3 คืนเป็นเครื่องปลูกก็ได้ ง่ายดีครับข้อเสียมีเพียงมะพร้าวยุ่ยง่าย
ประมาณสามสีเดือนก็ควรจะเปลี่ยนเครื่องปลูกแล้ว บางครั้ง
หลายๆ
ท่านเกรงว่าเครื่องปลูกมะพร้าวเสื่อมเร็วอาจจะมีการผสมเพอร์ไลน์ หรือหินภูเขาไฟเบอร์เล็กเข้าไปบ้างก็ได้นะครับ ช่วยให้เครื่องปลูกโปร่งขึ้น ยืดระยะเวลาได้
|
ปุ๋ย
|
หม้อข้าวหม้อแกงลิงสามารถใส่ปุ๋ยได้ ที่ใช้กันโดยทั่วๆ
ไปคือ ออสโมโค้ดสูตร 3 เดือน หรืออาจเป็นสูตร 6 เดือน (คือ 3
เดือนใส่ครั้งหนึ่ง หรือ 6 เดือนใส่ครั้งหนึ่ง)
ใส่ครั้งละประมาณ 5 -8 เม็ด
|
เขตการกระจายพันธุ์ของหม้อข้าวหม้อแกงลิงในประเทศไทย
หม้อข้าวหม้อแกงลิงสามารถพบได้ทุกภาคในประเทศไทย
มักจะเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่ดินมีความชื้น ขาดสารอาหาร
และอยู่ในพื้นที่ที่รับแสงได้ดี
ในประเทศไทยจะมีการกระจายตัวอย่างหนาแน่นในบริเวณภาคใต้ไล่จนไปถึงมาเลเซีย
การขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ
ในธรรมชาติหม้อข้าวหม้อแกงลิงสามารถขยายพันธุ์ได้
2 วิธี ได้แก่
1.เมล็ด ซึ่งเป็นการขยายพันธุ์ที่สำคัญที่สุด
ก่อให้เกิดความหลากหลายทางสายพันธุ์ทำให้หม้อข้าหม้อแกงลิงรุ่นใหม่ๆ
มีสายพันธุ์ที่แข็งแรงยิ่งขึ้นสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี อีกทั้งเมล็ดยังมีลักษณะที่เล็กและเบาจึงสามารถล่องลอยไปตามลมได้ไกลจากต้นแม่ ทำให้หม้อข้าวหม้อแกงลิงจะขึ้นกระจัดกระจายเป็นวงกว้าง
2.การแตกหน่อ เป็นการเพิ่มจำนวนบริเวณโคนต้นแม่
โดยที่ต้นลูกจะมีลักษณะเหมือนกับต้นแม่ทุกประการ การขยายพันธุ์แบบนี้ ช่วยให้ได้กอของต้นที่แข็งแรงยิ่งขึ้นป้องกันภัยทางธรรมชาติได้ดีกว่าการเจริญเติบโตแบบต้นเดี่ยว
3.ไหล บางสายพันธุ์ของหม้อข้าวหม้อแกงลิงมีไหลอยู่ใต้ดิน ช่วยให้มีตาผุดขึ้นมามากมาย
การขยายพันธุ์ลักษณะนี้คล้ายกับการแตกหน่อแทบทุกประการ เพียงแต่ครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างกว่า
ลูกผสมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและลูกผสมที่มนุษย์เพาะพันธุ์ขึ้นมา
มีลูกผสมมากมาย
ยกตัวอย่างเช่น
ตัวอย่างบางส่วนลูกผสมโดยมนุษย์เป็นผู้ผสมขึ้นที่เรารู้จักกันดี
·
N. Coccinea ((N.
rafflesiana × N. ampullaria) × N. mirabilis)
·
N. Emmarene (N. khasiana × N.
ventricosa)
·
N. Gentle (N.
fusca × N. maxima)
·
N. Judith
Finn (N. veitchii × N. spathulata)
·
N. Miranda ((N.
maxima × N. northiana) × N. maxima)
·
N. Mixta (N.
northiana × N. maxima)
·
N. Ventrata (N.
ventricosa × N. alata)
สถานการณ์อนุรักษ์
เนื่องจากหม้อข้าวหม้อแกงลิงหลายชนิดมีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์ทั้งจากเก็บออกมาขาย
หรือบุกรุกป่าเพื่อที่ทำกิน ทำให้สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ(IUCN) บรรจุรายชื่อหม้อข้าวหม้อแกงลิงทุกชนิดลงในบัญชีอนุรักษ์ของอนุสัญญาไซเตส ในส่วนของประเทศไทยที่เป็นสมาชิกนั้น
ได้กำหนดนโยบาย มาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามอนุสัญญาฯ
ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่อง
พืชอนุรักษ์ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่
2) พ.ศ. 2535 มีรายละเอียดเกี่ยวกับหม้อข้าวหม้อแกงลิงดังนี้
·
วงศ์หม้อข้าวหม้อแกงลิง (NEPENTHACEAE
(Pitcher-plants)
·
พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 1
·
พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2
โดยมีข้อบังคับไว้เกี่ยวกับพืชอนุรักษ์ดังนี้
1.
ห้ามมิให้ผู้ใดนำเข้า ส่งออก
หรือนำผ่านพืชอนุรักษ์และซากของพืชอนุรักษ์
เว้นแต่ได้รับหนังสืออนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย (มาตรา 29 ตรี)
2.
ผู้ใดประสงค์จะขยายพันธุ์เทียมพืชอนุรักษ์เพื่อการค้า
ให้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนสถานที่เพาะเลี้ยงพืชอนุรักษ์ต่อกรมวิชาการเกษตร (มาตรา 29 จัตวา)
1.มีลักษณะเป็นหม้อคล้ายๆกัน
2.อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกัน
3.เป็นพืชกินแมลงเหมือนกัน
4.ใช้วัสดุปลูกที่ใกล้เคียงกันแตกต่างกันไปตามสูตรของแต่ละคน
5.เป็นพืชแยกเพศ
6.เป็นที่นิยมในหมู่นักสะสมไม้กินแมลง
7.เป็นพืชที่ชอบความชื้นและแสงแดด
|
1.กระเป๋าจิงโจ้มีเพียงชนิดเดียวในสกุลแต่หม้อข้าวหม้อแกงลิงมีมากมายหลายชนิด
2.กระเป๋าจิงโจ้อยู่อาศัยในสภาวะที่ดินเป็นกรดสูงกว่าหม้อข้าวหม้อแกงลิง
3.ภายในหม้อของกระเป๋าจิงโจ้จะมีชั้นแผ่น
collar อยู่ภายในเพื่อป้องกันการย้อนกลับของแมลงและทำให้แมลงพลัดตกลงไปได้ง่ายขึ้น
4.กระเป๋าจิงโจ้มีหม้อขนาดใหญ่ไม่เกิน
2 นิ้ว
5.หม้อของกระเป๋าจิงโจ้จะมีปีกด้านหน้าและด้านข้างรวมเป็นสามปีก แต่หม้อข้าวหม้อแกงลิงจะมีเพียงปีกเดียว
6.กระเป๋าจิงโจ้พบได้ในประเทศออสเตรเลียเท่านั้น
7.หม้อของกระเป๋าจิงโจ้มีขนปกคลุม
8.ปากหม้อของกระเป๋าจิงโจ้จะเป็นร่องลึกตึ้นสลับกันเห็นได้ชัดเจน
9.บางใบของกระเป๋าจิงโจ้จะไม่พัฒนาไปเป็นหม้อ
แต่หม้อข้าวหม้อแกงลิงจะพัฒนาไปเป็นหม้อทุกๆใบ
10.กระเป๋าจิงโจ้มีลักษณะเป็นพุ่มเล็กแต่หม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นไม้เถาเลื้อย
|
ข้อเปรียบเทียบระหว่างหม้อข้าวหม้อแกงลิงกับกระเป๋าจิงโจ้
บรรณานุกรม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)